เทศกาลตวนอู่

เทศกาลตวนอู่เจี๋ย (端午节) หรือเทศกาลไหว้บะจ่าง บ๊ะจ่าง (อัพเดท 2568)

เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง (ตวนอู่เจี๋ย)

เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง

เทศกาลตวนอู่เจี๋ย หรือ เทศกาลวันไหว้บะจ่าง บ๊ะจ่าง ตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจีน เป็นวันที่เชื่อว่าเป็นวันที่พลังหยาง (阳) สูงที่สุดในรอบปี วันนี้เป็นวันที่ระลึกถึง ชวีหยวน (屈原) หรือที่รู้จักในชื่อ “คุง้วน” ในหมู่ชาวจีนแต้จิ๋ว เกิดราวปี 340 ก่อนคริสต์ศักราช และเสียชีวิตในปี 278 ก่อนคริสต์ศักราช เป็นกวีและนักการเมืองคนสำคัญแห่งรัฐฉู่ ในสมัย ยุครณรัฐ (战国时期) ของจีนโบราณ เขามีนามสกุลว่า หมี่ (芈) หรือบางแหล่งระบุว่า หน่าย (嬭) สกุลรองคือ ชวี (屈) ชื่อจริงว่า ผิง (平) ชื่อรองว่า หยวน (原) อีกชื่อหนึ่งที่เขาเรียกตนเองคือ เจิ้งเจ๋อ (正则) และชื่อรองว่า หลิงจวิน (灵均) ชวีหยวนเกิดที่ ตำบลจื่อกุย เมืองตันหยาง แห่งรัฐฉู่ ซึ่งปัจจุบันคือ เมืองอี้ชาง มณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน

ตั้งแต่วัยเยาว์ ชวีหยวนได้รับการศึกษาที่ดี มีความรู้กว้างขวางและความจำเป็นเลิศ มีอุดมการณ์แน่วแน่ ในช่วงต้นชีวิตเขาได้รับความไว้วางใจจาก กษัตริย์ฉู่หวาย (楚怀王) ได้รับแต่งตั้งให้เป็น ซ้ายถู่ (左徒) และต่อมาเป็น ซานลวี่ต้าฟู่ (三闾大夫) ซึ่งมีหน้าที่ดูแลทั้งการปกครองภายในและการทูตต่างประเทศ เขาเสนอแนวคิดการเมืองแบบ “เม่ยเจิ้ง (美政)” หรือ “การปกครองอย่างงดงาม โดยยึดหลักการเลือกคนดีมีความสามารถมาทำงาน พัฒนากฎหมายภายในประเทศและในการต่างประเทศ เขาสนับสนุนให้รัฐฉู่จับมือกับรัฐฉีเพื่อต้านทานรัฐฉินที่กำลังแผ่อำนาจ

อย่างไรก็ตาม ชวีหยวนถูกกลุ่มขุนนางที่อิจฉาและไม่พอใจในแนวคิดของเขาใส่ร้าย ทำให้ถูกถอดถอนจากตำแหน่ง และถูกเนรเทศไปยังแถบลุ่มแม่น้ำฮั่นและแม่น้ำหยวนเซียงหลายปี ในปี 278 ก่อนคริสต์ศักราช เมืองหลวงของรัฐฉู่ถูกกองทัพรัฐฉินยึดได้ ด้วยความโศกเศร้าและสิ้นหวัง ชวีหยวนจึงกระโดดลงแม่น้ำ มี่ลั่วเจียง (汨罗江) ฆ่าตัวตาย เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อแผ่นดินเกิด ชวีหยวนถือเป็น กวีผู้รักชาติคนสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์จีน เขาคือผู้ก่อตั้งและเป็นตัวแทนของวรรณกรรมประเภท “ฉู่ฉือ (楚辞)” ซึ่งเป็นต้นแบบวรรณกรรมแนว โรแมนติก ของจีน และเริ่มต้นแนวทางการเขียนที่เรียกว่า “หอมสมุนไพรงามสตรี (香草美人)” ซึ่งเปรียบเปรยคุณธรรมผ่านพืชและหญิงงาม

 “ซีหยวน” หรือ “คุกง้วน” กวีผู้รักชาติแห่งแคว้นฉู่ในช่วง  340 – 278 ปีก่อนคริสต์ศักราช ทางรัฐบาลจีนได้กำหนดวันนี้ให้เป็นวันกวีจีนเพื่อเชิดชูเกียรติของกวีผู้รักชาติ  ในอดีตกวีเอกและนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ “ซีหยวน” ถูกขุนนางใส่ร้ายว่าไม่ภักดีต่อประเทศ ท่านได้เลือกที่จะฆ่าตัวตายด้วยการโดดน้ำตายในแม่น้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างของท่านถูกปลาหรือกุ้งกิน ชาวบ้านในยุตนั้นได้โปรยก้อนข้าวให้ปลาและกุ้งกิน จึงเป็นที่มาของการทำ “บ๊ะจ่าง”  นอกจากนี้ยังมีตำนานเล่าว่าผุ้คนได้พายเรือเพื่อไล่ปลาและกุ้งในแม่น้ำ จึงเป็นที่มาของประเพณีการแข่งขันเรือมังกร

🌊 ตำนานสู่เทศกาล “ตวนอู่เจี๋ย” (端午节)

หลังจากเขาเสียชีวิต ชาวบ้านที่รักและเคารพชวีหยวน จึง พายเรือค้นหาร่างของเขาในแม่น้ำ และ โยนบ๊ะจ่าง (ข้าวห่อใบไผ่) ลงแม่น้ำ เพื่อไม่ให้ปลาแทะกินศพของเขา เหตุการณ์นี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง (เทศกาลตวนอู่) ซึ่งจัดขึ้นใน วันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติจีน ในปี ค.ศ. 1953 ซึ่งครบรอบ 2,230 ปีแห่งการเสียชีวิตของชวีหยวน สภาสันติภาพโลก (World Peace Council) ได้ประกาศยกย่องชวีหยวนให้เป็นหนึ่งใน “4 วัฒนธรรมเอกของโลก” ประจำปีนั้น ร่วมกับบุคคลระดับโลกอีก 3 คน


✨ วรรคทองอมตะของชวีหยวน

道漫漫其修远兮,吾将上下而求索
“หนทางยังยาวไกลนัก แต่ข้าจะเสาะแสวงหาไปทั้งบนฟ้าและใต้พิภพ”

วรรคทองนี้เป็นสัญลักษณ์ของ “จิตวิญญาณแห่งการแสวงหา (求索精神)” ซึ่งเป็นแบบอย่างอันสูงส่งของเหล่าผู้รักชาติและนักอุดมการณ์ในยุคต่อมา

ไหว้บะจ่าง

ไหว้บ๊ะจ่าง ขนมบ๊ะจ่าง

ในอดีตประเทศจีน กวีเอกและนักการเมืองน้ำดี ท่าน“ซีหยวน” เสียชีวิตในแม่น้ำและประชาชนได้โปรยข้าวปลาอาหารโปรยลงแม่น้ำเพื่อเป็นยัยว่าเพื่อล่อให้สัตว์น้ำมากิน จะได้ไม่กินศพของซีหยวน หลังจากนั้นในทุกปีเมื่อครบรอบวันตายของกวีเอก “ซีหยวน” ชาวบ้านจะนำเอาอาหารไปโปรยลงแม่น้ำ หลังจากโปรยอาหารในแม่น้ำ มีชาวบ้านผู้หนึ่งฝันเห็น กวีเอก “ซีหยวน” มาเข้าฝันโดยสวมใส่อาภรณ์อันงดงาม กล่าวขอบคุณชาวบ้านที่นำเอาหารไปโปรยเพื่อเซ่นไหว้ ท่านกวีเอกได้แนะนำให้นำอาหารเหล่านั้นห่อด้วยใบไผ่หรือใบจากก่อนนำไปโยนน้ำ เพื่อเป็นการเซ่นไหว้ท่าน การห่อด้วยใบไผ่หรือใบจากจะได้ให้อาหารไม่ถูกสัตว์น้ำแย่งกินจะได้เซ่นไหว้ได้ถึงดวงวิญญาณของกวีเอก ปกติขนมบ๊ะจ่างจะถูกห่อด้วยข้าวเหนียวและไส้ต่าง ๆ เช่น ถั่วแดง ถั่วเหลือง เนื้อสัตว์ ฯลฯ โดยใส่ไส้และวิธีการห่อแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ โดยลักษณะของขนมบ๊ะจ่างและรสชาติที่แตกต่างกันแสดงถึงความโชคดีและการกลับมาพบกันใหม่

 

บ๊ะจ่าง (粽子) คืออาหารจีนโบราณที่สืบทอดมาอย่างยาวนานหลายพันปี และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในอาหารประจำเทศกาลที่เก่าแก่และลึกซึ้งที่สุดในวัฒนธรรมจีน โดยเฉพาะในช่วง เทศกาลตวนอู่ (端午节) หรือที่รู้จักกันในไทยว่า “เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง” ซึ่งตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติ การรับประทานบ๊ะจ่างในช่วงเทศกาลนี้ไม่เพียงเป็นเรื่องของอาหาร หากยังเป็นการรำลึกถึงกวีผู้จงรักภักดีอย่าง ชวีหยวน (屈原) ที่กระโดดลงแม่น้ำเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อบ้านเมือง ชาวบ้านจึงพากันห่อข้าวเหนียวใส่ไส้ต่าง ๆ แล้วนำไปโยนลงแม่น้ำเพื่อป้องกันไม่ให้ปลาแทะกินร่างของชวีหยวน พฤติกรรมนี้กลายเป็นธรรมเนียมสืบต่อเนื่องหลายร้อยปี บ๊ะจ่างดั้งเดิมเรียกว่า “จ้งฮอ (粽籺)” ทำจาก ข้าวเหนียว (糯米) ห่อด้วยใบไผ่หรือใบพืชพื้นเมือง เช่น ใบรั่ว (箬叶) หรือ ใบฉ่ง (柊叶) แล้วนำไปนึ่งหรือต้มจนสุก รูปร่างของบ๊ะจ่างมีหลากหลาย เช่น ทรงสามเหลี่ยมมุมแหลม (尖角状) หรือทรงสี่เหลี่ยม (四角状) และในสมัยโบราณยังใช้เป็นของเซ่นไหว้บรรพบุรุษและเทพเจ้าด้วย

ความแตกต่างของบ๊ะจ่างในแต่ละภูมิภาคของจีนสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของวัฒนธรรมอาหาร โดยใน ภาคเหนือของจีน จะนิยมใช้ ข้าวฟ่าง (黍米) แทนข้าวเหนียว และเรียกบ๊ะจ่างในชื่อว่า “เจี้ยวจู่ (角黍)” หรือ “บ๊ะจ่างมุม” มักใส่พุทราจีน รสชาติหวานละมุน ขณะที่ ภาคใต้ของจีน จะมีไส้ที่หลากหลายมากขึ้น เช่น หมูสามชั้นเค็ม ไข่เค็ม เห็ดหอม แปะก๊วย ถั่วแดง และแฮม ตัวอย่างที่โดดเด่นได้แก่ บ๊ะจ่างหมูเค็มกวางตุ้ง (广东咸肉粽) และ บ๊ะจ่างเมืองเจียซิง มณฑลเจ้อเจียง (嘉兴粽子) ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องรสชาติกลมกล่อมและวิธีห่อที่ประณีต ในประเทศไทย บ๊ะจ่างถือเป็นอาหารมงคลในครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีน โดยนิยมใส่หมูสับ กุนเชียง ไข่แดงเค็ม ถั่วลิสง และห่อด้วยใบไผ่ขนาดใหญ่ กลายเป็นเมนูไหว้เจ้าที่สื่อถึงความมั่งมีอุดมสมบูรณ์ ทั้งหมดนี้ทำให้บ๊ะจ่างไม่ใช่แค่อาหารประจำเทศกาล แต่ยังเป็นสื่อกลางที่เชื่อมโยงวัฒนธรรม ความเชื่อ และความรักชาติของชาวจีนจากอดีตจนถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งยังแผ่ขยายอิทธิพลไปสู่ประเทศในเอเชียตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม และไทยอีกด้วย

การแข่งขันเรือมังกร วันไหว้บะจ่าง

赛龙舟

การแข่งเรือมังกร หรือภาษาจีนเรียกว่า “ไส่หลงโจว (赛龙舟)” คือกิจกรรมพื้นบ้านที่สืบทอดมายาวนานหลายพันปีของชาวจีน และถือเป็น หนึ่งในกิจกรรมสำคัญที่สุดของเทศกาลตวนอู่ (端午节) หรือที่รู้จักกันในไทยว่า “เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง” การแข่งเรือมังกรไม่ใช่เพียงแค่การแข่งขันกีฬาเท่านั้น แต่ยังเป็นการผสมผสานระหว่าง กีฬาแบบดั้งเดิม (传统体育) การละเล่นพื้นบ้าน และความสามารถเฉพาะตัวในเชิงศิลปะ เช่น การพายพร้อมกัน การควบคุมจังหวะ และความงดงามของเรือที่ตกแต่งอย่างวิจิตร ทำให้กิจกรรมนี้เป็นทั้งศิลปะและการแสดงทางวัฒนธรรมไปในตัว ปัจจุบัน การแข่งเรือมังกรยังคงได้รับความนิยมในหลายพื้นที่ของจีน เช่น มณฑลหูหนาน (湖南省) เขตหยวนหลิง, เมืองตงก่วน มณฑลกวางตุ้ง (广东省东莞市), เมืองถงเหริน มณฑลกุ้ยโจว (贵州省铜仁市) และ เขตเจิ้นหยวน (镇远县) โดยได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ระดับชาติของจีน (国家级非物质文化遗产) ต้นกำเนิดของการแข่งเรือมังกรมีหลายทฤษฎี บ้างว่ามีไว้เพื่อ เซ่นไหว้จิตวิญญาณของชวีหยวน (屈原) กวีผู้รักชาติ บ้างว่ามีเพื่อ บูชานางสาวเฉาเอ๋อ (曹娥) หรือเพื่อ บวงสรวงเทพแห่งสายน้ำหรือเทพมังกร (龙神) โดยเชื่อว่าประเพณีนี้มีมาตั้งแต่ ยุครณรัฐ (战国时代) ซึ่งเป็นยุคเดียวกับที่ชวีหยวนมีชีวิตอยู่ ประเพณีแข่งเรือมังกรจึงมีรากฐานผูกพันอย่างลึกซึ้งกับความเชื่อของชาวจีนและการแสดงความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง ต่อมาประเพณีนี้ได้แพร่หลายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ญี่ปุ่น เวียดนาม และแม้แต่ประเทศในยุโรป เช่น อังกฤษ โดยกลายเป็นกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่สากลยิ่งขึ้น ในปี ค.ศ. 2010 การแข่งเรือมังกรได้ถูกบรรจุเป็นหนึ่งในกีฬาทางการของ การแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ที่นครกว่างโจว (广州亚运会) อีกด้วย ปัจจุบัน การแข่งเรือมังกรจัดขึ้นทั้งในรูปแบบพายเรือจริงในแม่น้ำ และแบบ “เรือมังกรแห้ง” (旱龙舟) ซึ่งเป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ในพื้นที่ไม่มีแม่น้ำ เช่นในบางเมืองทางภาคเหนือของจีน การแข่งเรือมังกรจึงไม่เพียงแต่เป็นกิจกรรมแห่งความสนุก แต่ยังเป็นสื่อกลางในการสืบสานจิตวิญญาณของคนจีนรุ่นแล้วรุ่นเล่าอย่างงดงาม การเฉลิมฉลองนี้ ผู้คนต่างจะแสดงความรักต่อครอบครัว มิตรภาพและความเสน่หา ตลอดจนอธิษฐานเพื่อความสามัคคีในชาติและความเจริญรุ่งเรืองของชาติ งานแข่งขันเรือมังกร จึงเป็นช่วงเวลาที่คนรวมตัวกันเพื่อรำลึกความทรงจำของกวีเอกผู้รักชาติ และยังเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนกลับมารวมกันและสวดภาวนาเพื่อขอพรด้วย

เทศกาลตวนอู่กับศาสนาเต๋า

ต้นกำเนิดของเทศกาลตวนอู่มีหลากหลายทฤษฎี บางตำนานเชื่อว่าเกิดจากการรำลึกถึง ชวีหยวน (屈原) กวีรักชาติผู้กระโดดแม่น้ำเสียชีวิต บางตำนานกล่าวว่าเป็นการบูชา เทพวู๋จื่อซวี (伍子胥) ผู้เสียชีวิตอย่างอยุติธรรมแล้วกลายเป็น “เทพแห่งสายน้ำ” หรือมีความเชื่อว่าเป็น “วันอัปมงคล” ที่ต้องทำพิธีขับไล่สิ่งชั่วร้าย นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีว่าคือ “เทศกาลของมังกร” ซึ่งสะท้อนความเชื่อดั้งเดิมเรื่องการบูชามังกรในฐานะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ และบางตำราก็โยงกับระบบปฏิทินฤดูกาล เช่น วันครีษมายัน (夏至) ประเพณีของเทศกาลตวนอู่จึงสะท้อนทั้ง ระบบจักรราศี ดาราศาสตร์โบราณ ปรัชญาจีนโบราณ และการแพทย์พื้นบ้าน จนกลายเป็นเทศกาลที่มีความหมายลึกซึ้งหลากมิติ กิจกรรมยอดนิยมในเทศกาลนี้ได้แก่ การแข่งเรือมังกร แขวนรูปจงขุย หลบช่วงเที่ยงวัน แขวนใบไอ้กับชางผู ดื่มเหล้าหวงจิ๋ว ทาร่างกายด้วยน้ำชางผู รับประทานไข่เค็ม ผลไม้ตามฤดูกาล ขนม “ห้าวตู้ปิ่ง (ขนมห้าสัตว์พิษ)” 

เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง เป็นวันตี้ล่า “地腊” หรือวันบวงสรวงดิน ซึ่งวันนี้จะใช้ในการขอขมากรรมและขอพรให้ได้เลื่อนยศตำแหน่ง และเป็นวันที่บูชาบรรพชนและเทพเจ้าในวันนี้ ในความเชื่อทางศาสนาเชื่อว่าวันนี้เป็นวันที่พลังหยินและพลังหยางจะแข่งขันกัน ในเดือนห้าของจีน อากาศที่ประเทศจีนเริ่มร้อน สัตว์มีพิษต่าง ๆ จะเริ่มตื่น คนโบราณเชื่อว่าภูติแห่งโรคภัยและสัตว์มีพิษทั้งห้าและจะมีความอัปมงคลต่าง ๆ ชาวบ้านผู้นับถือศาสนาเต๋าจึงนิยมผูกแขนด้วยผ้าไหม 5 สี (เขียว เหลือง ขาว แดง ดำ แทนธาตุ ไม้ ดิน ทอง ไฟ และ น้ำ) เพื่อปัดเป่าวิญญาณชั่วร้าย นักพรตเต๋า จะทำยันต์จีน (ฮู้) ปรมาจารย์จางเทียนซือ หรือ เทพเจ้าจงขุย และ ยันต์ “ห้าพิษ” เพื่อติดกลางบานประตูบ้านใช้ขับไล่พลังเสนียด ยันต์เหล่านี้จะติดถึงวันที่ 1 เดือน 6 ของจีนจึงปลอดออก

ธรรมเนียมการแขวนภาพ “จงขุย (钟馗)” เทพเจ้าผู้ปราบปีศาจจากราชวงศ์ถังที่ยังมีชีวิตถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมสำคัญที่มีมาแต่โบราณ โดยมีหลักฐานชัดเจนว่า ธรรมเนียมการแขวนภาพจงขุย ได้รับความนิยมตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง และแพร่หลายยิ่งขึ้นในราชวงศ์หมิงและชิง โดยมีบันทึกในตำราโบราณอย่าง 《清嘉录》 ว่า “ในเดือนห้า (ตามปฏิทินจันทรคติ) บ้านเรือนจะพากันแขวนภาพจงขุยไว้กลางบ้านตลอดทั้งเดือน เพื่อขับไล่ภูตผีปีศาจและขจัดพลังงานลบ” สาเหตุหนึ่งเพราะช่วงเดือนห้านั้นอากาศร้อนชื้น เชื้อโรคและโรคระบาดแพร่กระจายได้ง่าย ผู้คนจึงเชื่อว่าการแขวนภาพของจงขุยจะช่วย ปัดเป่าโรคภัยและป้องกันสิ่งอัปมงคล ได้ จงขุย” เป็นเทพเจ้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในวัฒนธรรมจีนโบราณ เขามีรูปลักษณ์ดุดัน ดวงตาโปน จ้องเขม็ง สวมชุดขุนนางและถือกระบี่ เชื่อกันว่าเป็นเทพที่ “วิงวอนอะไรก็ได้ดั่งใจ 万应之神” และยังมีอีกหลายตำแหน่ง เช่น “เทพอารักษ์ประจำบ้าน” และ “เทพปราบโรคระบาด” ในยุคหมิงและชิงที่โรคระบาดรุนแรง ผู้คนแทบทุกบ้านจะหาภาพจงขุยมาติดบูชา หรือแขวนไว้หน้าบ้านเพื่อขอพรให้ปลอดภัย จวบจนปัจจุบัน วัฒนธรรมการเคารพบูชาจงขุยยังคงอยู่ โดยถูกนำมาผสมผสานกับวิถีชีวิตสมัยใหม่ เช่น การผลิต “ตุ๊กตาจงขุยแบบพกพา” ในรูปแบบ บัตรโดยสารอัจฉริยะ (IC Card) ที่ใช้งานได้จริงในระบบขนส่งมวลชน โดยใช้วัสดุฝ้ายเนื้อดี ขนาดพกพา พร้อมสายคล้องและกล่องของขวัญอย่างประณีต เหมาะสำหรับพกติดตัวเสมือนมีเทพจงขุยคอยคุ้มครองในทุกการเดินทาง เชื่อกันว่าใครมี “จงขุย” อยู่ด้วยจะ “万事顺遂” หรือ “ทุกอย่างราบรื่น ขอสิ่งใดก็สมหวัง” เทพจงขุยจึงไม่เพียงเป็นตัวแทนของการขับไล่ปีศาจเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งการปกป้อง ความมั่นใจ และความเป็นสิริมงคล ที่สืบสานมาจนถึงยุคใหม่อย่างสง่างาม

เทพเจ้าจงขุย

ภูมิปัญญาชาวบ้านในเทศกาลตวนอู่

艾叶
เหล้าสงหวง

ชาวจีนจะนิยมแขวนต้นหญ้า “โกฐจุฬาลัมพา” และต้นว่านน้ำ ไว้หน้าประตูบ้าน เพื่อขับไล่พิษในเทศกาลตวนอู่ ในเทศกาลนี้ชาวจีนจะออกไปนอกบ้านโดยไม่ใส่รองเท้าและเหยียบใบหญ้าเขียวสดเพื่อป้องกันโรค การติดต้น “โกฐจุฬาลัมพา” แขนหน้าประตู ความหอมของต้นนี้ปัอเป่าพลังไม่ได้ขับไล่พิษร้าย และเมื่อนำต้นนี้มาต้มกับน้ำเดือดสามารถรักษาโรคผิวหนัง ถ้านำมาเผายังสามารถขับไล่แมลง ไล่ยุง ริ้น ไร ได้  สำหรับต้นว่านน้ำก็ยังเป็นสุดยอดแห่งยาที่รักษาโรคได้มากมาย  นอกจากนี้ยังมีความเชื่อในการดื่มเหล้า “สงหวง” ซึ่งเป็นเหล้าที่มีฤทธิ์แรง สามารถฆ่าแมลงและหนอนพิษได้ ความเชื่อสุดท้ายคือชาวบ้านจะนิยมให้เด็กใส่ถุงหอมในวันนี้เพราะเชื่อว่าจะสามารถขับไล่พลังไม่ดีและสิ่งชั่วร้ายได้

เหล้าสงหวง หรือในภาษาจีนเรียกว่า 雄黄酒 (xióng huáng jiǔ) คือเหล้าสมุนไพรที่ใช้ในประเพณี เทศกาลตวนอู่ (端午节) มาแต่โบราณ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแยงซี (长江流域) มีความเชื่อดั้งเดิมว่า “ดื่มเหล้าสงหวงแล้ว ภูตผีและโรคภัยจะหนีหาย” ด้วยฤทธิ์ของสมุนไพรที่เชื่อว่าสามารถขจัดพิษ ขับไล่แมลง และป้องกันโรคติดต่อ ซึ่งสอดคล้องกับฤดูร้อนช่วงเทศกาลที่มักมีโรคระบาดเกิดขึ้นบ่อย เหล้าสงหวงทำจากการนำ ผงแร่สงหวง (雄黄) ซึ่งเป็นแร่ชนิดหนึ่งที่เรียกอีกชื่อว่า “หินหงอนไก่” (鸡冠石) มาละลายผสมกับ เหล้าขาว หรือเหล้าหมัก (黄酒) ในสัดส่วนเล็กน้อย ปกติจะไม่ดื่มเพียว ๆ เพราะแร่ชนิดนี้มี สารหนู (arsenic sulfide) และ สารปรอท ที่เป็นพิษต่อร่างกาย แม้จะมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อในทางแพทย์แผนจีน ใช้รักษาโรคผิวหนัง แผลพุพอง หรืองูและแมลงกัดต่อย แต่ก็ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังมาก โดยเฉพาะเมื่อ นำไปผ่านความร้อน เพราะจะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันกลายเป็น สาร砒霜 (arsenic trioxide) หรือ “ยาพิษแรงสูง” ที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้รวดเร็วและรุนแรงภายในไม่กี่ชั่วโมง ดังนั้นในปัจจุบัน จึงไม่แนะนำให้ดื่มเหล้าสงหวงอีกต่อไป

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *