
เที่ยวซีอาน 4 วัน 3 คืน : เที่ยวอย่างอิสระ ไม่ง้อทัวร์ (2024)
การเดินทางเที่ยวซีอาน 4 วัน 3 คืน ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การไปเยือนเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นการใช้เวลากับครอบครัวและเตรียมตัวสำหรับอนาคตของลูกชายคนที่สอง ภูริวัจน์ ศุภพิทักษ์พงษ์ (ริว) ที่กำลังจะจบการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาวิศวกรรมการบินและอวกาศจากมหาวิทยาลัย Northwestern Polytechnical University อีกเพียง 6 เดือนเขาก็จะกลายเป็นวิศวกรการบินเต็มตัวอย่างภาคภูมิ
นอกจากการท่องเที่ยวซีอานเพื่อเก็บความทรงจำกับริวและภรรยา (Patty) เราได้มีโอกาสเยี่ยมเยียนครูสอนมวยหย่งชุน (Wing Chun) ที่สอนริวมานานกว่า 3 ปี เป้าหมายในการเรียนรู้และฝึกฝนมวยจีนของริวนั้น ไม่ได้หยุดแค่ในประเทศจีน แต่ริวตั้งใจว่าจะนำวิชานี้กลับมาเผยแพร่ในประเทศไทย เพื่อสอนศิลปะการป้องกันตัวนี้ให้กับผู้สนใจในอนาคต
“การเดินทางไม่ใช่แค่การไปถึงจุดหมาย แต่คือการได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ระหว่างทาง” การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทริปท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนกับครอบครัวเท่านั้น แต่เป็นการเสริมสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน พัฒนาความรู้และความเข้าใจในวัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตในแง่มุมต่าง ๆ ทั้งในด้านการศึกษา การต่อสู้ การทำธุรกิจ และความเจริญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ช่วยเปิดมุมมองในการปรับตัวและพัฒนาในด้านการทำธุรกิจของเราเอง
เที่ยวซีอาน: เมืองแห่งประวัติศาสตร์มากกว่า 3000 ปี
ซีอาน (Xi’an) เป็นเมืองหลวงของมณฑลส่านซี ชื่อเดิมว่า ฉางอาน (Chang’an) มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3,000 ปี โดยเมืองนี้เป็นหนึ่งในเมืองที่มีความสำคัญทางการเมืองและวัฒนธรรมมากที่สุดในจีนโบราณ ซีอานมีบทบาทสำคัญในฐานะเมืองหลวงของหลายราชวงศ์จีน โดยเฉพาะราชวงศ์ฉินและราชวงศ์ถัง นอกจากนี้ เมืองนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางสายไหม (Silk Road) ที่เชื่อมจีนกับยุโรปและเอเชียกลาง ทำให้ซีอานเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของโลกโบราณ จุดเด่นทางประวัติศาสตร์ของซีอานคือสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ซึ่งเป็นที่ฝังจักรพรรดิฉินที่ 1 พร้อมกองทัพทหารดินเผาจำนวนกว่า 8,000 ตัว ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก
ซีอานยังมีความสำคัญในด้านการเผยแพร่พุทธศาสนา โดยเฉพาะในช่วงราชวงศ์ถัง ซึ่งเป็นยุคที่พระถังซำจั๋ง หรือในภาษาจีนเรียกว่า “เสวียนจั้ง” (玄奘) พระภิกษุชาวจีนผู้มีชื่อเสียง ได้เดินทางไปยังชมพูทวีป (อินเดีย) เพื่อศึกษาพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ท่านเกิดในปี ค.ศ. 602 และในช่วงปี ค.ศ. 627–645 พระถังซำจั๋งได้เดินทางไปอินเดียเพื่อศึกษาและแปลพระไตรปิฎกจากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาจีน การเดินทางนี้เกิดขึ้นในรัชสมัยของจักรพรรดิถังไท่จง แห่งราชวงศ์ถัง ท่านเสวียนจั้งมีบทบาทสำคัญในการนำคำสอนของพุทธศาสนากลับมาสู่จีน ซึ่งมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการพัฒนาศาสนาและวัฒนธรรมในจีนยุคต่อมา
ซีอานผสมผสานระหว่างประวัติศาสตร์และความทันสมัย มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์มากมาย เช่น กำแพงเมืองซีอาน หอระฆัง หอกลอง เจดีย์ห่านป่าใหญ่ และเจดีย์ห่านป่าเล็ก พิพิธภัณฑ์ประจำมณฑลส่านซี ย่านมุสลิมซีอาน มัสยิดซีอาน หอศิลป์หู่หมิง เป็นต้น ทำให้ซีอานยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์จีนโบราณ
การเดินทางวันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2567
การเดินทางของเราเริ่มต้นจากท่าอากาศยานดอนเมือง ด้วยสายการบิน Thai Air Asia ในวันที่ 30 สิงหาคม 2567 เวลา 16:40 น. มุ่งหน้าสู่เมือง ซีอาน ประเทศจีน โดยมีกำหนดถึงสนามบินซีอานเวลาท้องถิ่น 21:35 น. (เวลาไทย 20:35 น.) ค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทาง 3 ท่านอยู่ที่ 12,340 บาท ซึ่งราคาตั๋วสูงกว่าปกติเล็กน้อยเนื่องจากเป็นช่วงที่นักเรียนไทยหลายคนเดินทางกลับจีนเพื่อเรียนในเทอมที่ 2 การเดินทางใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง
เมื่อถึงสนามบินซีอาน เราผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งโชคดีที่ลูกชายอยู่ด้วย เนื่องจากเจ้าหน้าที่สื่อสารได้เฉพาะภาษาจีน ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้เลย การตรวจสอบค่อนข้างละเอียด โดยต้องแจ้งสถานที่พักและลูกชายต้องแสดงบัตรนักศึกษาเพื่อตรวจสอบเพิ่มเติม หลังจากผ่านการตรวจคนเข้าเมือง ริวถูกเรียกให้นำกระเป๋าไปตรวจสอบ เนื่องจากเจ้าหน้าที่สงสัยกล่องในกระเป๋า ซึ่งในกล่องนั้นเป็นของขวัญสำหรับอาจารย์มวยหย่งชุน คือกรอบกระจกที่ใส่พระเครื่องของ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เจ้าหน้าที่ถามรายละเอียดเพิ่มเติมเพราะไม่คุ้นเคยกับสิ่งของนี้
หลังจากกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองและกระเป๋าที่ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็เตรียมเดินทางออกจากสนามบิน และต้องหยุดเข้าห้องน้ำก่อน ภรรยาสังเกตว่าในสนามบินห้องน้ำยังคงเป็นแบบ Squat Toilet (ส้มนั่งยอง) และโถปัสสาวะของผู้ชายก็มักจะเลอะเทอะเพราะคนจีนนิยมยืนปัสสาวะห่างจากโถ ซึ่งทำให้พื้นเปียก ข้อดีคือบริเวณหน้าห้องน้ำมีบริการน้ำเปล่าให้ดื่มฟรี ซึ่งช่วยได้มากเนื่องจากอากาศในซีอานเป็นแบบกึ่งแห้งแล้ง ทำให้เรากระหายน้ำได้เร็ว
ซีอานมีสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งในช่วงนี้ อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 35-40 องศาเซลเซียส แต่เนื่องจากความชื้นต่ำ ร่างกายจึงสูญเสียน้ำได้เร็วกว่าที่ไทย ทำให้เราต้องดื่มน้ำบ่อยมาก ดื่มเสร็จก็กระหายน้ำอีกครั้ง เป็นสิ่งที่ควรทราบสำหรับผู้ที่เดินทางมายังเมืองนี้
เมื่อเราเรียกแท็กซี่จากสนามบิน ระบบเรียกแท็กซี่คล้ายกับที่สนามบินดอนเมือง มีแท็กซี่จอดเรียงรายประมาณ 50-60 คัน เราเพียงเข้าแถวและเจ้าหน้าที่สนามบินจะชี้คันที่เราสามารถเรียกได้ การเดินทางไปที่พักใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ปัญหาที่พบคือคนขับรถแท็กซี่ไม่เปิดแอร์และเปิดหน้าต่างแทน ลูกชายอธิบายว่าคนจีนบางคนเชื่อว่าการเปิดหน้าต่างจะช่วยระบายอากาศและทำให้สุขภาพดีขึ้น แม้อากาศจะร้อน แต่คนจีนยังคงเปิดหน้าต่างในรถ

คืนแรกเราเลือกพักที่ Chayuhua Coffetel Designer Homestay ราคาประหยัดเพียงคืนละ 750 บาท ที่พักนี้อยู่ใกล้กับ กำแพงเมืองซีอาน และสถานีรถไฟฟ้า Yongningmen Subway Station ทำให้การเดินทางสะดวกมาก ที่พักกว้างขวางขนาด 40 ตร.ม. ภายในห้องมีโปรเจคเตอร์แทนทีวี ไม่มีตู้เย็น และมีการเปิดหน้าต่างหนึ่งไว้ตลอดเพื่อระบายอากาศ แม้ว่าเราจะเปิดแอร์ก็ตาม
หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อย เราออกไปหาอาหารค่ำเวลาประมาณ 23:15 น. ลูกชายพาเราไปเลือกร้านอาหารซึ่งมีให้เลือกมากกว่า 20 ร้าน เราเลือกร้านที่ดูดีที่สุด แต่รสชาติกลับไม่ตรงกับที่คาดหวังไว้ หลังจากรีบทานอาหาร ลูกชายก็ต้องรีบกลับหอพักนักศึกษาก่อนเที่ยงคืน
ผมกับภรรยาเดินเล่นต่อและพบอีกหนึ่งร้านอาหารที่ดูสะอาด เราจึงเข้าไปสั่งอาหารเพิ่มเติม โดยเมื่อจะชำระเงินพบว่าร้านไม่รับ Unipay แต่รับเพียงการจ่ายผ่าน WeChat หลังจากโทรหาลูกชายและใช้การสแกน QR Code ผ่าน WeChat สำเร็จ เราก็จ่ายค่าอาหารได้อย่างสะดวก สิ่งนี้ทำให้เห็นว่า WeChat พัฒนาการใช้งานที่สะดวกมากในประเทศจีน
วันแรกจบลงด้วยการเดินเล่นตอนเที่ยงคืนกว่า พบว่าผู้คนยังคงเดินพลุกพล่าน เราจึงรีบกลับที่พักเพราะนัดลูกชายเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้นตอน 7 โมงเช้า เตรียมพร้อมสำหรับการท่องเที่ยวเมืองซีอานในวันต่อไป
การเดินทางวันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2567
ตื่นเช้า 6.30 น. อาบน้ำแต่งตัวลงมาพบกับลูกชายที่นั่งรออยู่ด้านล่างที่พักก่อนเวลานัดหมาย 7.00 น. พาไปซื้อน้ำ ไส้กรอกที่มีให้เลือกหลายรสชาติในร้านสะดวกซื้อ เรียก TAXI ไปทานอาหารและเที่ยวที่ ประตูทิศใต้ของเมืองซีอาน หรือที่เรียกว่า South Gate (Yongningmen) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของ กำแพงเมืองซีอาน ซึ่งเป็นกำแพงเมืองโบราณที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศจีน ประตูทิศใต้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมเริ่มต้นการสำรวจเมืองเก่าและกำแพงเมือง เนื่องจากเป็นประตูหลักที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและการบูรณะอย่างสวยงาม
ย่านถนนคนเดินบริเวณประตูทิศใต้ของเมืองซีอาน
เป็นจุดศูนย์รวมของวัฒนธรรมและอาหารท้องถิ่นที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด มีร้านอาหารที่หลากหลาย รวมถึงศาลเจ้าที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อยู่ใกล้เคียง นี่คือรายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับย่านถนนคนเดิน ร้านอาหาร และศาลเจ้าในบริเวณนี้:
1. ย่านถนนคนเดิน 小南门 แหล่งตลาดเช้า



ย่านถนนคนเดิน 小南门 (Xiaonanmen) แหล่งตลาดเช้าเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ย่านถนนคนเดินในซีอานเป็นหนึ่งในแหล่งที่มีความคึกคักและน่าสนใจที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศตลาดเช้าในเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งนี้ ย่านนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกำแพงเมืองเก่าและเป็นแหล่งรวมความหลากหลายของผู้ค้า ร้านอาหาร และสินค้าพื้นบ้านที่หลากหลาย ทำให้เป็นที่นิยมทั้งในหมู่นักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่น ตลาดเช้าใน 小南门 มีความเป็นเอกลักษณ์ด้วยสินค้าสดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ และขนมท้องถิ่นที่ปรุงสดใหม่ให้เห็นกันตั้งแต่เช้าตรู่ การเดินช้อปปิ้งที่นี่จะทำให้คุณได้สัมผัสถึงวิถีชีวิตของชาวซีอานในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของใช้ประจำวัน การนั่งจิบชาในร้านน้ำชา หรือการพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าที่เป็นกันเองการเดินทางมาย่านนี้ในช่วงเช้าไม่เพียงแต่เป็นการสำรวจตลาด แต่ยังเป็นโอกาสดีในการชมสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่อยู่ล้อมรอบ โดยเฉพาะกำแพงเมืองซีอานที่ถือเป็นหนึ่งในกำแพงเมืองที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดในประเทศจีน
เราเดินทางไปถึงช่วงเช้าเกือบ 8.00 น. ตลาดเช้ากำลังจะวายแล้ว แต่ยังมีร้านอาหารมากมายบริเวณหน้าประตูเมืองด้านใน แต่ละร้านมีคนต่อแถวกันยาว แม้ว่าอากาศร้อนจัดถึง 38 องศา แต่บรรยากาศยังคงครึกครื้น ลูกชายบอกว่าปกติแล้วช่วงที่อากาศเย็นกว่านี้จะมีคนต่อคิวซื้ออาหารยาวกว่านี้มาก ที่เราเห็นนั้นจริง ๆ แล้วไม่ได้รอนานอย่างที่คิด ระหว่างเดินดูร้านอาหาร เราเจอร้านหัวมุมที่เป็นของชาวจีนมุสลิม มีที่นั่งให้บริการ โดยคุณยายที่เฝ้าร้านยิ้มแย้มแจ่มใส เชิญชวนให้ซื้ออาหารจากร้านของเธอ และสามารถนั่งรับประทานในร้านได้ หากซื้ออาหารจากร้านอื่น เธอจะขอให้วางไว้ที่ตู้ด้านนอก การบริการของเธอเป็นกันเองและน่ารักมาก อาหารเช้าที่เราเลือกทานมีหลากหลาย เช่น Rou Jia Mo (หมั่นโถวใส่หมูเนื้อนุ่ม) อาหารท้องถิ่นที่ต้องลองเมื่อมาเยือนซีอาน, Biang Biang Noodles (บะหมี่เส้นหนาพร้อมน้ำซุปเข้มข้น), Jiaozi (ขนมจีบเนื้อแพะ), Youtiao (แป้งทอดกรอบที่นิยมทานคู่กับน้ำเต้าหู้), Yang Rou Chuan (แกะย่างเสียบไม้) และ Zongzi (ข้าวเหนียวห่อใบไผ่ที่มีไส้หลากหลาย เช่น ถั่วแดง เนื้อหมู หรือไข่แดง) ซึ่งทุกจานเต็มไปด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของซีอาน
2. วัดศาสนาเต๋า 湘子庙


หลังจากทานอาหารเสร็จ ลูกชายเรียกรถสามล้อที่คล้ายกับสามล้อบ้านเรา แต่เป็นสามล้อดัดแปลงจากจักรยานไฟฟ้า สามารถนั่งได้ 4 คน โดยที่นั่งหันหลังเข้าหากัน การเดินทางใช้เวลาประมาณ 3-5 นาทีก็มาถึง 湘子庙 (วัดเซียงจื่อ) เป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงในเมืองซีอาน มณฑลส่านซี ประเทศจีน วัดแห่งนี้เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ หานเซียงจื่อ หนึ่งในแปดเซียนในตำนานของลัทธิเต๋า ตามตำนานเล่าว่า หานเซียงจื่อเป็นศิษย์ของหานจงหลี ซึ่งเป็นเซียนอีกคนหนึ่ง เขามีความสามารถในการเป่าขลุ่ยที่สามารถเรียกลมเรียกฝนและทำให้พืชพันธุ์เจริญเติบโต วัดนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) และได้รับการบูรณะหลายครั้งในช่วงประวัติศาสตร์ ต่อมาวัดได้กลายเป็นสถานที่สักการะและเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งในซีอาน วัดตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าของซีอาน ห่างจากประตูเมืองทางทิศใต้เพียงไม่กี่กิโลเมตร เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 8:00 น. ถึง 18:00 น.
วัดเซียงจื่อเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจและเป็นเอกลักษณ์ โดยเริ่มจาก ประตูมังกรคู่ ที่ตั้งอยู่หน้าทางเข้าหลักของวัด ซึ่งมีรูปปั้นมังกรคู่ยืนเฝ้าเป็นสัญลักษณ์ของพลังและความเป็นสิริมงคล เมื่อเดินเข้ามาภายในวัดจะพบกับ สวนหย่อมภายใน ที่มีบรรยากาศร่มรื่นและเงียบสงบ เหมาะสำหรับการพักผ่อนและสักการะ นอกจากนี้ยังมี หอสมบัติของเซียน ซึ่งเป็นอาคารที่จัดแสดงเรื่องราวของแปดเซียน รวมถึงตำนานและสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับหานเซียงจื่อ โดยสุดท้ายคือ วัดประตูสวรรค์ ซึ่งมีการออกแบบอย่างงดงามและละเอียดอ่อนตามศิลปะแบบจีนโบราณที่สะท้อนถึงพลังอำนาจของเซียน ภายในวัดมีนักพรตหญิง 2-3 คนที่สวมชุดขาวคอยดูแลและอำนวยความสะดวก
3.ถนนหลู่เหมิน (Shuyuanmen Cultural Street, 书院门文化街)




ถนนหลู่เหมิน (Shuyuanmen Cultural Street, 书院门文化街) ตั้งอยู่ใกล้ประตูทิศใต้ของกำแพงเมืองซีอาน ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง ถนนสายนี้ยาวประมาณ 570 เมตร ถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง (1368-1644) เพื่อเป็นแหล่งรวมของโรงเรียน ศิลปะ วรรณกรรม และปรัชญาขงจื๊อ สถาปัตยกรรมจีนโบราณที่ยังคงรักษาไว้ได้ดี เช่น การปูถนนด้วยหินและประตูโค้งแบบดั้งเดิม ช่วยสร้างบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายประวัติศาสตร์และการศึกษา นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมตึกโบราณ แกลเลอรี และพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงศิลปะและวัตถุโบราณที่สะท้อนวัฒนธรรมจีนโบราณอย่างสมบูรณ์แบบ ถนนสายนี้มีโรงเรียนคัดอักษรทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของศิลปะการคัดอักษรจีนโบราณที่มีชื่อเสียง ซึ่งสอนทักษะการคัดอักษรทั้งแบบมาตรฐานและแบบศิลปะชั้นสูง นักเรียนจะได้เรียนรู้ทั้งทฤษฎีและการปฏิบัติในการใช้พู่กันอย่างถูกต้อง โดยมีครูผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำ นอกจากทักษะการคัดอักษรแล้ว การเรียนยังเน้นความสมดุลทางจิตใจและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งสะท้อนถึงปรัชญาและความสงบในวิถีชีวิตจีน ผู้สนใจสามารถเข้ามาฝึกฝนและสัมผัสถึงวัฒนธรรมจีนอย่างลึกซึ้งในบรรยากาศอาคารโบราณและถนนสายศิลปะแห่งนี้
ถนนหลู่เหมินยังเป็นสวรรค์ของผู้ที่รักศิลปะการเขียนอักษรจีน (Calligraphy) และการวาดภาพ ที่นี่มีอุปกรณ์เครื่องเขียนแบบโบราณ เช่น พู่กัน หมึกแท่ง กระดาษข้าว และพัดจีนที่มีลวดลายงดงาม รวมถึงร้านค้าที่จำหน่ายของที่ระลึกและสินค้าหัตถกรรมท้องถิ่นหลากหลายชนิด เช่น งานแกะสลักไม้และเครื่องเคลือบ สำหรับครอบครัวของเราที่มีเชื้อสายจีน 100% และมีบรรพบุรุษที่เป็นบัณฑิต การได้เดินบนถนนที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์เช่นนี้ รู้สึกเหมือนได้กลับมาพบกับเครือญาติที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เราใช้โอกาสนี้เลือกซื้อของที่ระลึก เช่น ไม้บรรทัดที่เขียนคำสอนเต๋าเต๋อจิง และม้วนหนังสือไม้ไผ่ที่สอนการเป็นอาจารย์ที่ดี พร้อมกับให้ชายชราผู้เชี่ยวชาญการตวัดพู่กันเขียนชื่อของทุกคนในครอบครัวลงบนพัดเพื่อเป็นที่ระลึก หลังจากใช้เวลาชื่นชมย่านวัฒนธรรมนี้เกือบชั่วโมง เราก็เรียกแท็กซี่กลับไปที่พักเพื่อเปลี่ยนกระเป๋า และเดินทางต่อไปยังโรงแรม Mr. Wu’s Hotel ซึ่งเป็นโรงแรม 4 ดาวครึ่งในตัวเมือง ใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดิน Xi’an Xiaozhai Keji Road โชคดีที่โรงแรมอนุญาตให้เราเช็กอินก่อนเวลา จึงได้เก็บกระเป๋าและเตรียมพร้อมสำหรับการผจญภัยครั้งต่อไปในซีอาน
ภัตตาคาร 小杨烤肉



小杨烤肉 (Xiao Yang Kao Rou) เป็นร้านอาหารชื่อดังในเมืองซีอานที่มีความเชี่ยวชาญในอาหารปิ้งย่างสไตล์จีนดั้งเดิม โดยเฉพาะเนื้อย่างหรือ “烤肉” ซึ่งเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื้อที่ใช้ในการย่างถูกคัดสรรมาอย่างดีและผ่านการหมักจนได้รสชาติที่กลมกล่อมและเข้มข้น เนื้อแกะที่สั่งมานำเข้าตรงจากมองโกเลีย รสชาติเนื้อไม่มีกลิ่นสาบ แต่กลับมีกลิ่นนมอ่อน ๆ น่าลิ้มลองสำหรับคนชอบเนื้อ นอกจากเนื้อย่างแล้ว ยังมีเมนูอื่น ๆ เช่น เสียบไม้ปิ้งย่าง (串) ที่มีทั้งเนื้อแกะ เนื้อวัว และเนื้อหมู รวมไปถึงผักสดและอาหารทะเล นอกจากนี้ ขนมปังย่างสไตล์ซีอาน (烤馍) และบะหมี่เส้นซีอาน (Biang Biang Noodles) ก็เป็นเมนูยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือน
บรรยากาศภายในร้านเป็นกันเองและอบอุ่น มีการตกแต่งแบบเรียบง่ายแต่ยังคงไว้ซึ่งความดั้งเดิมแบบจีน เหมาะสำหรับการมารับประทานอาหารเป็นกลุ่มหรือกับครอบครัว การบริการเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของร้าน โดยพนักงานมีความสุภาพและใส่ใจในการบริการอย่างดีเยี่ยม ทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจ สำหรับมื้อกลางวันที่น่าจดจำในครั้งนี้ มีการสั่งอาหารหลากหลาย เช่น ไข่เยี่ยวม้าเย็นสไตล์ซีอาน, มะเขือม่วงเผา, เนื้อแพะและเนื้อวัวย่างไม้, ลูกชิ้นปลาย่างไม้, หอยนางรมใหญ่, ไก่กระทะร้อน และขนมปังยัดไส้แพะ โดยอาหารจานหลักคือ เนื้อแกะย่างนำเข้าจากมองโกเลียที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของนมโดยไม่มีกลิ่นสาบ อาหารที่นี่ราคาสูงแต่คุ้มค่ากับการลิ้มลองอาหารซีอานในภัตตาคารระดับนี้ ซึ่งเป็นที่รู้จักในหมู่คนท้องถิ่นว่าเป็นหนึ่งในร้านที่ดีที่สุดในเมือง
ย่านหอรังฆังเมืองซีอาน 钟楼 (Zhonglou)

หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ ลูกชายได้นัดหมายร้านเช่าชุดเพื่อแต่งกายแบบจีนโบราณ หรือที่เรียกว่า Hanfu ซึ่งลูกชายค้นหาจากอินเทอร์เน็ต โดยร้านที่เลือกนั้นได้คะแนนรีวิวสูงถึง 4.9 จาก 5 ร้านตั้งอยู่บริเวณใกล้ 钟楼 (Zhonglou) หรือ หอระฆังเมืองซีอาน เราเดินทางไปยังย่านการค้าด้วยแท็กซี่ และพบว่าที่ห้างสรรพสินค้าชั้นล่างมีร้านเช่าชุด Hanfu อยู่ประมาณ 8-9 ร้าน ร้านที่ลูกชายเลือกโดดเด่นด้วยการตกแต่งโทนสีแดง และแม้ว่าราคาค่อนข้างสูง แต่ลูกชายเลือกเพราะต้องการให้ได้ภาพที่สวยงามสมกับการมาเที่ยว ลูกชายได้พูดคุยกับเจ้าของร้านเพื่อฝากให้พ่อแม่ได้รับการดูแลอย่างดี เนื่องจากเขาต้องรีบไปลงทะเบียนที่มหาวิทยาลัยในช่วงบ่ายวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการลงทะเบียน ทางร้านจึงส่งทีมงานมาช่วยเลือกชุดและแต่งตัวให้ แม้ว่าจะมีอุปสรรคเรื่องการสื่อสาร เพราะพนักงานไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ทำให้ต้องสื่อสารกันเหมือนคนใบ้ แต่เราก็เลือกชุดที่ดีที่สุดในขณะนั้น และร้านยังมีบริการแต่งหน้าให้ แม้การแต่งหน้าออกมาธรรมดา ไม่ได้ดูเทพเหมือนใน TikTok แต่ก็พอใช้ได้
เมื่อถึงเวลาประมาณ 15.00 น. ลูกชายกลับมารับเราที่ร้านพอดี หลังจากแต่งตัวเสร็จ เราใส่ชุด Hanfu และออกเดินไปยังจุดถ่ายภาพสำคัญที่ต้องถ่าย คือป้ายที่เขียนว่า “ฉางอัน” ซึ่งเป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวทุกคนมักมาเยือน การเดินบนถนนด้วยชุด Hanfu ไม่ทำให้รู้สึกเขินอาย เพราะคนจีนจำนวนมากก็นิยมใส่ชุด Hanfu เดินตามท้องถนน เช่นเดียวกับเมื่อเราไปเที่ยวอยุธยา ที่มีคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติใส่ชุดไทยเดินชมเมือง หลังจากถ่ายรูปเสร็จ ไม่ไกลจากจุดนั้นเราก็เดินไปยังร้านอาหารสำหรับมื้อเย็นในเวลาประมาณ 15.30 น. ลูกชายแนะนำว่าร้านนี้เป็นร้านอาหารที่ต้องลอง เพราะเป็นร้าน Signature ของย่านทิศตะวันตกในเมืองซีอาน
The food galleries of Xi'an 西安大排档 ศูนย์รวมอาหารเมืองซีอาน






สวนดอกโบตั๋นแห่งราชวงศ์ถัง 大唐芙蓉园 (Da Tang Furong Yuan)
สวนดอกโบตั๋นแห่งราชวงศ์ถัง 大唐芙蓉园 (Tang Paradise) เป็นสวนวัฒนธรรมที่สวยงามและยิ่งใหญ่ในเมืองซีอาน ตั้งอยู่ใกล้กับเจดีย์ห่านป่าใหญ่ (Giant Wild Goose Pagoda) ในย่านเมืองเก่า สวนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อย้อนรอยและนำเสนอความรุ่งเรืองของราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) ซึ่งเป็นยุคทองของจีนในหลายด้าน ทั้งด้านวัฒนธรรม ศิลปะ และการค้า ด้วยการออกแบบสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงความงดงามและความยิ่งใหญ่ในยุคนั้น ที่นี่จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกมาเยือนเพื่อสัมผัสความสง่างามของประวัติศาสตร์จีน
สวนนี้ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ มีทะเลสาบขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางสวน พร้อมด้วยอาคารที่มีสถาปัตยกรรมในสไตล์ถัง ที่ออกแบบอย่างพิถีพิถัน เช่น หอเฟิ่งหวง (Phoenix Pavilion) และ วังหมู่หยาง (Muyan Palace) ซึ่งเป็นจุดเด่นภายในสวน นอกจากนี้ ยังมีการแสดงน้ำพุเต้นระบำและการแสดงดนตรีวัฒนธรรมจีนโบราณให้ชมในช่วงค่ำ ทำให้บรรยากาศของสวนดูงดงามและมีชีวิตชีวาโดยเฉพาะในเวลากลางคืน ดอกโบตั๋น ซึ่งเป็นดอกไม้ที่มีความสำคัญในราชวงศ์ถังยังถูกปลูกทั่วบริเวณสวน สร้างสีสันและเสน่ห์ให้กับสถานที่แห่งนี้ตลอดทั้งปี



เราเดินทางถึง Tang Paradise ในเวลาประมาณ 19.00 น. ซึ่งฟ้ามืดพอดี หลังจากซื้อบัตรเข้าชมที่ราคา 120 หยวนต่อคน ลูกชายใช้สิทธินักศึกษาได้ในราคา 60 หยวน ภายในสถานที่กว้างใหญ่กว่าที่คิดและสวยงามมากอย่างที่ลูกชายแนะนำไว้ มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวจีนที่ใส่ชุด Hanfu มาถ่ายรูปในสถานที่ ทีมงานถ่ายภาพของพวกเขานั้นจัดเต็ม มีทั้งสไตลิสต์ ช่างกล้อง ช่างไฟ และอุปกรณ์ประกอบฉากครบครัน แต่สำหรับเราเตรียมมาแค่กล้องกับแฟลช จึงถ่ายรูปเท่าที่ทำได้ในเวลากลางคืนที่แสงน้อย ซึ่งรู้สึกว่าน่าจะเตรียมอุปกรณ์มาให้พร้อมกว่านี้ แต่ก็สนุกกับการเห็นความตั้งใจจริงของสาวๆ จีนที่มาถ่ายรูป เดินถ่ายภาพประมาณชั่วโมงเศษก็เริ่มเหนื่อย จึงขึ้นรถรับส่งภายในสถานที่ ค่าบริการคนละ 39 หยวน รถพาเราไปส่งที่ประตูทางออก ซึ่งเป็นจุดที่ใกล้เจดีย์ห่านป่าใหญ่ หลังจากเที่ยวชมบ่อน้ำพุร้อนหัวชิง เราตั้งใจไว้ว่าครั้งหน้าที่มาซีอาน จะกลับมาอีกครั้งพร้อมอุปกรณ์และอุปกรณ์ประกอบฉากที่ครบถ้วน เพื่อเก็บความทรงจำที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
เจดีย์ห่านป่าใหญ่ (Giant Wild Goose Pagoda)




หลังจากออกจากประตูทางออก เราเริ่มการเดินทางเที่ยวจาก Xi’an Great Tang All Day Mall ไปยัง เจดีย์ห่านป่าใหญ่ (Big Wild Goose Pagoda) ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ที่พิเศษมาก การเดินเที่ยวที่นี่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของประวัติศาสตร์จีนโบราณที่ถูกผสมผสานเข้ากับความทันสมัยของเมืองซีอาน จุดเริ่มต้นของเราอยู่ที่ Xi’an Great Tang All Day Mall ซึ่งเป็นย่านช้อปปิ้งและพื้นที่เดินเล่นที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมในสไตล์ราชวงศ์ถัง ถนนนี้ถูกตกแต่งด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และงานศิลปะต่าง ๆ ที่สะท้อนถึงเรื่องราวและบุคคลสำคัญในยุคราชวงศ์ถัง โดยเฉพาะในช่วงค่ำ ถนนถูกประดับด้วยไฟที่สวยงาม มีการแสดงศิลปะข้างทาง เช่น การเต้นรำและดนตรีสด ทำให้การเดินเล่นที่นี่มีความสนุกและมีชีวิตชีวา การถ่ายภาพในช่วงกลางคืนท่ามกลางแสงไฟที่ส่องสว่างทำให้บรรยากาศโรแมนติกและผ่อนคลาย เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจยิ่งกว่าการถ่ายภาพที่บ่อน้ำพุร้อนในช่วงกลางวัน
เมื่อเดินไปตามถนนเรื่อย ๆ เราก็เริ่มเห็นยอด เจดีย์ห่านป่าใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาและประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้นในยุคราชวงศ์ถัง เจดีย์นี้ตั้งอยู่ในวัดต้าฉือเอิน (Da Ci’en Temple) ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระถังซำจั๋งแปลพระไตรปิฎกจากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาจีน บรรยากาศที่นี่เงียบสงบ สวนโดยรอบเจดีย์ถูกจัดแต่งอย่างงดงาม สถานที่ตรงนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านหน้าของเจดีย์ที่มีการแสดง Musical Fountain น้ำพุที่พุ่งสูงขึ้นพร้อมกับแสงไฟและดนตรีที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในจุดถ่ายภาพที่น่าประทับใจที่สุด โดยเฉพาะในช่วงค่ำที่แสงไฟช่วยสร้างบรรยากาศที่โรแมนติกและน่าตื่นเต้น
แม้ว่าเวลาจะเกือบ 4 ทุ่มแล้ว แต่การถ่ายภาพที่เจดีย์ห่านป่าใหญ่ในยามค่ำคืนยังคงเป็นประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ โดยเฉพาะเมื่อยืนอยู่ตรงหน้ารูปปั้นพระถังซำจั๋งซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกจากอินเดีย ความยิ่งใหญ่ของรูปปั้นท่ามกลางแสงไฟสีเหลืองทองที่ส่องจากเจดีย์ห่านป่าใหญ่ทำให้ภาพถ่ายออกมาดูมีพลังและเต็มไปด้วยอารมณ์ ราวกับฉากในภาพยนตร์โบราณ บรรยากาศที่อบอุ่นและสวยงามทำให้เรารู้สึกถึงความเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ ขณะเดียวกันก็ไม่พลาดที่จะนั่งพักหน้าวัดเพื่ออธิษฐานขอพรจากพระศรีรัตนตรัยและพระถังซำจั๋ง ให้ครอบครัวเราได้เข้าถึงธรรมะเช่นเดียวกับพระถังซำจั๋งที่เดินทางไปศึกษาและเผยแพร่พระธรรมกลับมายังจีน
หลังจากถ่ายภาพเสร็จและเตรียมตัวเดินทางกลับ การเรียกรถใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้ แม้จะพยายามเรียกรถถึง 15 นาทีก็ไม่มีรถเข้ามารับ สถานการณ์เริ่มกดดันเมื่อลูกชายต้องรีบกลับหอพักก่อนเที่ยงคืน เราตัดสินใจเดินเท้าประมาณ 2 กิโลเมตรไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งใช้เวลาเดินอีก 10 นาทีหลังจากถึงสถานี เพื่อกลับโรงแรมและส่งลูกชายไปยังหอพักให้ทันเวลา ปัญหาการเดินทางและความเหนื่อยล้าทำให้รู้สึกว่าครั้งหน้าที่มาเยือนซีอาน คงต้องเลือกพักที่โรงแรมใกล้ ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาแบบนี้ สรุปแล้วคืนนี้เดินไปถึง 24,000 ก้าว ทั้ง ๆ ที่สวมรองเท้า Nike คู่โปรด แต่กลับปวดเท้าและพองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
การเดินทางวันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2567
ตื่นเช้าเวลา 6.45 น. ลงมาทานอาหารเช้าในโรงแรมตอน 7.15 น. ซึ่งอาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารที่เน้นเป็นผัก แต่ก็มีเมนูหลากหลายใช้เวลาทาน วันนี้ทานแบบเร็วมาก ๆ เพราะลูกชายมารอตั้งแต่ 7.00 น.ตามนัดหมาย แต่พ่อแม่ตื่นไม่ไหวเลยให้รอนิดหน่อย ทานเสร็จ 7.45 น. รีบเดินทางด้วย TAXI ลูกชายพาไปเที่ยวที่กำแพงเมืองตามโปรแกรมที่กำหนดไว้
กำแพงเมืองซีอาน



เมื่อเดินทางถึง กำแพงเมืองซีอาน เราเริ่มต้นด้วยการซื้อตั๋วเข้าเยี่ยมชม ลูกชายเล่าให้ฟังว่าที่เมืองจีนไม่มีการแบ่งแยกค่าตั๋วระหว่างคนจีนและคนต่างชาติ ไม่เหมือนกับในประเทศไทยที่โบราณสถานส่วนใหญ่คนไทยเข้าฟรีหรือจ่ายเพียงเล็กน้อย แต่คนต่างชาติจะต้องจ่ายแพงกว่า ที่จีนค่าตั๋วสำหรับคนจีนและต่างชาติเท่ากันหมด เนื่องจากคนจีนจากต่างเมืองก็นิยมมาเที่ยวเหมือนกัน การเดินเล่นบนกำแพงเมืองซีอานเป็นประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเมืองประวัติศาสตร์นี้ กำแพงเมืองซีอานเป็นหนึ่งในกำแพงเมืองโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดในประเทศจีน และยังถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองซีอาน ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์หมิง กำแพงนี้สร้างขึ้นในช่วงต้นราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368-1644) มีความยาวประมาณ 13.7 กิโลเมตร ล้อมรอบเมืองเก่า โครงสร้างและสถาปัตยกรรมของกำแพงสะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมจีนโบราณ เมื่อขึ้นไปเดินบนกำแพง จะได้สัมผัสถึงบรรยากาศที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และความสงบของเมืองเก่า
เราเริ่มการเดินเล่นจากประตูเมืองทิศใต้ (South Gate) ซึ่งเป็นประตูเมืองที่สำคัญและมีการตกแต่งอย่างงดงาม การเดินขึ้นไปบนกำแพงไม่ยากนัก และเมื่อขึ้นไปถึงยอดกำแพง เราจะได้พบกับวิวทิวทัศน์ที่งดงามของเมืองซีอาน มองเห็นทั้งเมืองเก่าและเมืองใหม่ที่มีตึกสูง ผสมผสานระหว่างความเก่าแก่และความทันสมัยอย่างลงตัว นักท่องเที่ยวยังสามารถเช่าจักรยานเพื่อปั่นรอบกำแพงเมืองได้ แต่ครั้งนี้เรามีเวลาจำกัด จึงใช้เวลาเดินเล่นและถ่ายภาพประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ บรรยากาศบนกำแพงนั้นเงียบสงบและมีมุมถ่ายภาพที่สวยงามมาก หลังจากที่เราเพลิดเพลินกับการถ่ายภาพแล้ว ก็เดินทางต่อด้วยแท็กซี่เพื่อไปเยี่ยมอาจารย์ของริวตามนัดหมายเวลา 10.00 น.
โรงเรียนสอนมวยหย่งชุน Wing Chun เมืองซีอาน

โรงเรียนสอนมวยหย่งชุนเป็นสถานที่ที่ลูกชายได้เรียนศิลปะการต่อสู้เป็นเวลา 2-3 ปี โดยได้รับการฝึกฝนมวยหย่งชุนจากอาจารย์ที่มีสายการเรียนรู้โดยตรงจาก อาจารย์ยิปมัน ที่ฮ่องกง อาจารย์อายุประมาณ 40 กว่าปี มีร่างกายแข็งแรงและมีความศรัทธาในมวยหย่งชุนอย่างน่าเคารพ หนึ่งในเหตุผลหลักของการเดินทางมาซีอานครั้งนี้ก็คือการมาขอบคุณอาจารย์ที่ได้ตั้งใจถ่ายทอดวิชามวยหย่งชุนให้กับลูกชายอย่างละเอียดและถูกต้อง อาจารย์ให้ความสำคัญกับรายละเอียดทุกขั้นตอนในการฝึก ตั้งแต่องศาของหมัดไปจนถึงการใช้แรงที่ต้องถูกต้อง ซึ่งทั้งหมดนี้อาจารย์สอนเพื่อให้ลูกชายสามารถนำมวยหย่งชุนไปถ่ายทอดให้กับคนไทยที่สนใจในศิลปะการต่อสู้แบบจีนได้เรียนรู้มวยหย่งชุนอย่างถูกต้องตามแบบแผน
สำนักฝึกตั้งอยู่ในห้องเช่าสองชั้น ชั้นแรกมีรูปของเทพเจ้ากวนอู ส่วนชั้นล่างซึ่งเป็นพื้นที่ฝึกฝน มีหุ่นไม้หลายตัวสำหรับฝึก และมีป้ายคำสั่งสอนของปรมาจารย์มวยหย่งชุนติดอยู่ที่ผนัง บริเวณหุ่นไม้หลักมีกระจกกลมและกิมฮวย 2 ชิ้นที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมจีน นอกจากนี้ยังมีรูปของอาจารย์และอาจารย์ของท่านติดอยู่บนผนัง ซึ่งแสดงถึงการสืบทอดวิชา ลูกชายในอนาคตก็จะทำหน้าที่สืบทอดมวยหย่งชุนสายนี้ต่อไป อาจารย์เป็นผู้มีอัธยาศัยดีและศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากประเทศไทย ผมจึงได้เช่าสมเด็จพระพุฒาจารย์โตรุ่นปี พ.ศ. 2551 และพระเครื่องขนาดใหญ่ของสมเด็จพระพุฒาจารย์โตที่วัดอินทรวรวิหาร รวมถึงพระเครื่องหลวงพ่อปานจากวัดบางนมโค อยุธยา เพื่อนำมามอบให้อาจารย์ ใช้เวลาพูดคุยและถ่ายรูปกันประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนที่เราจะลาและเดินทางต่อเนื่องจากยังมีตารางเดินทางอีกมาก
หลังจากเยี่ยมอาจารย์เสร็จ เรารีบเดินทางไปทางตะวันตกของเมืองเพื่อคืนชุด Hanfu ที่เช่ามาเมื่อวาน และแวะทานอาหารที่ Food Court ใกล้กับศูนย์การค้า ลูกชายบอกว่าแม้จะเป็น Food Court แต่ราคาค่อนข้างสูงเนื่องจากตั้งอยู่กลางเมือง อาหารรสชาติดี หลังทานเสร็จ ลูกชายพาไปซื้อน้ำที่มีรสชาติคล้ายน้ำชานมเกรดพรีเมี่ยม ซึ่งอร่อยมาก จากนั้นเรานั่งแท็กซี่เดินทางไปยัง สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ซึ่งลูกชายบอกว่า ถ้าไม่ได้มาเยี่ยมชมที่นี่ก็เหมือนกับว่ายังมาไม่ถึงซีอาน แม้ว่าเท้าจะเจ็บจากการเดินเที่ยวเมื่อวาน แต่ก็ต้องเดินต่อเพื่อเติมเต็มการเดินทางให้สมบูรณ์
สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก
เราเดินทางด้วยแท็กซี่ประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษจากตัวเมืองซีอาน มุ่งหน้าไปยังเขตหลินถง ซึ่งห่างจากตัวเมืองประมาณ 40 กิโลเมตร เพื่อเยี่ยมชมสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดของเมืองซีอาน สุสานแห่งนี้เป็นที่ฝังพระศพของจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ (Qin Shi Huang) จักรพรรดิองค์แรกที่รวบรวมจีนให้เป็นหนึ่งเดียวในปี 221 ก่อนคริสต์ศักราช สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นที่รู้จักทั่วโลกเพราะเป็นสถานที่ตั้งของกองทัพทหารดินเผา (Terracotta Army) ซึ่งถูกค้นพบโดยบังเอิญในปี 1974 โดยชาวนาที่กำลังขุดบ่อน้ำ กองทัพดินเผานี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องจักรพรรดิในโลกหลังความตาย และนับเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกโบราณ
สำหรับผม ตั้งแต่ยังเด็ก หนึ่งในหนังสือที่อ่านตอนอายุประมาณ 9-10 ปีคือประวัติของจิ๋นซีฮ่องเต้ หนังสือเล่มนั้นพาผมเรียนรู้ทั้งด้านดีและไม่ดีของจักรพรรดิองค์นี้ ให้ศึกษาว่าเขาควรถูกยกย่องเป็นมหาราชหรือทรราชย์ ผมยังจำได้ว่าในช่วงที่เรียนอยู่ ป.5 พ่อแม่เคยพาไปชมนิทรรศการแสดงชุดศพหยกและหุ่นปั้นจิ๋นซีฮ่องเต้ที่จัดแสดงในกรุงเทพฯ การได้ชมในวัยเด็กนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและสนใจในประวัติศาสตร์ของพระองค์อย่างมาก มาวันนี้ ตอนที่อายุ 54 ปี ลูกชายทำหน้าที่พาผมมาดูสุสานจริง แต่เมื่ออายุมากขึ้น ความตื่นเต้นก็ลดลงบ้าง แม้จะไม่เร้าใจเหมือนในวัยเด็ก แต่ก็รู้สึกดีใจที่ได้เห็นสถานที่จริงและได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก




สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ หรือที่รู้จักในชื่อ สุสานทหารดินเผา เป็นหนึ่งในแหล่งโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และได้รับการขนานนามว่าเป็น “สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก” สุสานนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พำนักหลังความตายของ จิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกของจีนที่รวมแผ่นดินจีนเป็นปึกแผ่นในปี 221 ก่อนคริสตกาล ภายในสุสานประกอบด้วยกองทัพทหารดินเผาจำนวนกว่า 8,000 นาย ซึ่งมีขนาดเท่าของจริง โดยทหารแต่ละคนถูกปั้นขึ้นมาอย่างละเอียด มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งในรูปร่าง ท่าทาง และเครื่องแต่งกาย แต่ละตัวถูกสร้างขึ้นด้วยรายละเอียดที่แตกต่างกัน ทั้งรูปร่าง ท่าทาง และการแต่งกาย ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนของการแกะสลักในยุคนั้น ทำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ของสุสานแห่งนี้ สุสานทหารดินเผาเป็นสิ่งก่อสร้างทางโบราณคดีที่สะท้อนถึงความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายของจักรพรรดิ และยังเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
การเดินชมสุสานใช้เวลาและพลังงานไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเดินทางกลับ ทางออกถูกออกแบบให้ต้องเดินอ้อมไปประมาณ 1-2 กิโลเมตร แม้อากาศจะร้อน แต่มีร้านค้ามากมายตลอดเส้นทาง ทั้งร้านค้า Local และร้านอาหารแบรนด์ดังอย่าง KFC, McDonald’s และ Starbucks แม้ว่าราคาจะสูงกว่าปกติ เราตัดสินใจไม่ซื้อของ แต่เลือกนั่งพักที่ร้านกาแฟเพื่อผ่อนคลายก่อนเดินทางต่อ ตอนแรกมีแผนจะไปเยี่ยมชม สถานที่หยางกุ้ยเฟย ซึ่งอยู่ใกล้กับสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินและเวลาที่จำกัด เราจึงตัดสินใจกลับไปที่ร้านเช่าชุด Hanfu ที่ลูกชายนัดหมายไว้ตอน 18.00 น. เพื่อถ่ายภาพแก้ตัวจากเมื่อวานที่การแต่งหน้าไม่เป็นอย่างที่คิด การเรียกรถจากแอปพลิเคชันของจีนทำให้สะดวกมาก ค่ารถถูกกว่าเรียกแท็กซี่ข้างนอกสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งมักให้ราคาแพงและมีเงื่อนไขเยอะ ครั้งนี้เราพบคนขับแท็กซี่ผู้หญิงอายุประมาณ 60 ปี เธอเป็นคนขับที่เป็นมิตรและชวนลูกชายคุยเรื่องต่างๆ ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์ และเรื่องราวสังคม รวมถึงค่าใช้จ่ายในการสู่ขอแต่งงานในจีน ช่วงเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงเต็มไปด้วยความรู้ หนึ่งในเรื่องที่น่าสนใจคือ คนขับแปลกใจที่ลูกชายผมเป็นคนไทย เพราะสำเนียงจีนของเขาทำให้เธอนึกว่าเป็นคนจีนแท้ๆ เมื่อทราบว่าเขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Northwestern Polytechnical University (NPU) เธอยิ่งรู้สึกชื่นชม เพราะมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นสถาบันชั้นนำในด้านเทคโนโลยีอากาศยานและอุตสาหกรรมการทหารของจีน ถือเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งในซีอานและอยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศ ความสำเร็จในการเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้ทำให้ครอบครัวรู้สึกภาคภูมิใจ และเป็นความหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของเขา
ย่านหุนเหมินเจีย และถ่ายรูปที่หอกลอง (Drum Tower)




รถแท็กซี่จอดส่งเราที่ ย่านหุยหมินเจีย (Hui Min Jie, 回民街) ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมากในเมืองซีอาน ย่านนี้เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมและอาหารฮาลาลที่มีชื่อเสียง นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสกับบรรยากาศของตลาดที่เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และแผงขายอาหารมากมายตลอดสองข้างทาง พอถึงที่หมายปรากฏว่ารองเท้า NIKI ที่ใส่มาขาด เลยตัดสินใจซื้อรองเท้าแตะจากร้านสะดวกซื้อและทิ้งรองเท้าที่เคยใช้เดินมาเกือบปี เนื่องจากเรามีนัดถ่ายรูปที่ร้านตอน 18.00 น. และยังมีเวลาเหลืออีกประมาณ 1 ชั่วโมง บวกกับทางร้านมีบริการรับส่งฟรี เราจึงตัดสินใจเดินเล่นในย่านหุยหมินเจียและหาอะไรรองท้องก่อน ลูกชายพาเราไปลองอาหารมุสลิมที่เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของที่นี่ จากนั้นก็ซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนโทรแจ้งร้านให้ส่งรถมารับ
เมื่อมาถึงร้านถ่ายรูป เราประหลาดใจมากเพราะร้านตั้งอยู่บนชั้น 3 ของห้างสรรพสินค้า แม้พื้นที่บริเวณนี้จะเงียบสงบ แต่ร้านเช่าชุดและแต่งหน้าเปิดไฟสว่างตลอดเวลา ร้านที่เราเลือกมีการตกแต่งด้วยชุด Hanfu เรียงรายและมีที่นั่งรอมากมาย ทั้งยังมีร้านกาแฟอยู่ด้านใน แต่ที่ทำให้ประหลาดใจที่สุดคือ พื้นที่อื่น ๆ ในห้างนั้นปิดไฟมืดสนิทหมด นั่นทำให้เราเข้าใจว่าทำไมร้านนี้จึงทำการตลาดออนไลน์หนักมาก แม้จะอยู่ใจกลางเมือง แต่ถ้าไม่ได้โปรโมทผ่าน Social Media คงไม่มีใครรู้จัก ลูกชายเลือกที่นี่เพราะผลงานการแต่งหน้าและถ่ายภาพที่เขาชื่นชอบ ไม่ได้เลือกจากคะแนนรีวิวเหมือนร้านแรก มาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องลองดู ร้านนี้มีทีมงาน 6-7 คนที่ล้อมพวกเราอย่างเป็นมืออาชีพ ช่วยเลือกชุด แต่งหน้า และทำผมให้พร้อมเต็มที่
การเลือกชุดของลูกชายเป็นไปอย่างเรียบร้อย แต่ของคุณแม่พบว่าชุดไม่เหมือนกับรูป Reference ทางร้านแจ้งว่าหากต้องการชุดที่เหมือนในรูปต้องจ่ายเพิ่ม 100 หยวน ซึ่งเราก็ตกลงทันที คุณแม่จึงถูกย้ายไปอีกห้องซึ่งมีชุดพรีเมี่ยมและช่างแต่งหน้าระดับพรีเมี่ยมบริการ สำหรับผม Stylist แนะนำให้ใส่ชุดฮ่องเต้ ซึ่งผมก็โอเค แต่พอแต่งเสร็จ ผมอยากใส่หมวก แต่ Stylist บอกว่าชุดนี้ไม่เหมาะกับหมวก สุดท้ายก็ต้องใส่วิกแทน ซึ่งผมไม่ค่อยมั่นใจ เพราะวันนั้นลืมโกนหนวด พอใส่วิกที่ดูเนิร์ดมากกับใบหน้าที่แต่งหน้าขาวเกินไป ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจจนถึงขั้นต้องบอกลูกชายให้ไปเข้าห้องน้ำด้วยกัน เพราะไม่กล้าเดินคนเดียว แต่ยังไงก็ต้องลุยต่อ ถือว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิต
หลังจากใช้เวลาแต่งหน้าทำผม คุณแม่ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ส่วนผมกับลูกชายเสร็จภายใน 1 ชั่วโมง ทีมงานถ่ายภาพของร้านที่ดูจริงจังมากก็นำทางเราไปยัง หอกลองซีอาน (Drum Tower of Xi’an) ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองซีอาน ก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1380 ช่วงราชวงศ์หมิง หอกลองเคยใช้สำหรับตีบอกเวลาในตอนเย็น สถาปัตยกรรมของหอเป็นสไตล์จีนโบราณที่งดงาม ภายในหอกลองมีการจัดแสดงกลองโบราณขนาดใหญ่หลายใบ ช่างภาพร่างใหญ่เดินอย่างรวดเร็วไปยังหอกลองโดยไม่พูดอะไรน่าจะแข่งกับเวลา มือซ้ายถือบันได มือขวาถืออุปกรณ์ ห้อยกล้องที่คอ เดินนำทางไปยังจุดถ่ายภาพ เมื่อถึงที่หมาย เราคิดว่าจะมีการถ่ายหลายฉาก แต่กลับเป็นการถ่ายเพียงฉากเดียวในหลาย ๆ มุม โดยช่างภาพถามว่าต้องการภาพเดี่ยวหรือภาพหมู่มากกว่า เขารีบให้คุณแม่ขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ว่างที่มีผู้หญิงหลายคนยืนอยู่เพื่อถ่ายชุด Hanfu โดยมีหอกลองเป็นฉากหลังที่สวยงามในยามค่ำคืน แม้การถ่ายภาพจะทุลักทุเลเพราะไม่มีอุปกรณ์เตรียมตัว เช่น กระดาษทิชชู่ แต่ช่างภาพก็เก่งและมีน้ำใจ เขาเดินไปขอกระดาษทิชชู่จากช่างภาพคนอื่นมาให้เราซับเหงื่อก่อนถ่ายรูป ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีก็ถ่ายเสร็จ ช่างภาพเริ่มยิ้มแย้มและบอกลูกชายว่าให้ช่วยเขียนคอมเมนต์ดีๆ ให้เขา เพราะถ้าไม่ได้รับคอมเมนต์ที่ดี เขาอาจไม่ได้รับค่าจ้าง
หลังจากถ่ายภาพเสร็จ พวกเราก็เดินย้อนกลับไปที่ หอระฆังซีอาน (Bell Tower of Xi’an) เป็นแลนด์มาร์กสำคัญที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1384 ช่วงราชวงศ์หมิง ตั้งอยู่ใจกลางเมืองซีอาน หอระฆังเคยใช้สำหรับตีบอกเวลาในช่วงเช้าและป้องกันเมืองจากศัตรู สถาปัตยกรรมของหอเป็นแบบจีนโบราณ สร้างด้วยไม้และอิฐ มีการตกแต่งที่ประณีต นอกจากนี้ หอระฆังยังเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม พวกเราสามคนรีบหา Location กับหอระฆังและถ่ายรูปด้วยกล้องที่เตรียมมาเอง ก่อนจะเดินย้อนกลับไปที่หอกลองอีกครั้งเพื่อเดินเล่นที่ Muslim Street และถ่ายภาพบรรยากาศยามค่ำคืน พร้อมกับแวะทานอาหารที่ร้านใหญ่และดูน่าเชื่อถือที่สุดในย่านนั้น จากนั้นเรียกแท็กซี่กลับโรงแรม ถึงโรงแรมเวลาเกือบ 23.30 น. เร่งรีบเข้าโรงแรมเพื่อถอดวิกและชุดให้ลูกชายกลับหอพักก่อนเที่ยงคืน เป็นอีกหนึ่งคืนที่เร่งรีบและเหนื่อยล้า แต่เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ สรุปวันนี้เดินไปประมาณ 25,000 ก้าว มากกว่าวันก่อน โชคดีที่เปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะช่วยให้เดินได้สะดวก พร้อมสำหรับวันสุดท้ายในซีอาน
การเดินทางวันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2567
วันนี้ตื่นประมาณ 8.00 น. ทานอาหารเช้าที่โรงแรมแบบไม่เร่งรีบ เพราะนัดลูกชายไว้ตอนประมาณ 9.00 น. เมื่อทานอาหารเสร็จแล้วออกจากโรงแรมไปเดินเล่นไหว้พระกัน โดยเริ่มเรียก TAXI ไปถนนฝั่งตะวันตกของเมืองซีอาน เพื่อแวะนำชุด Hanfu ไปคืนตอนประมาณ 9.30 น. หลังจากคืนชุดแล้วก็เดินเล่นที่ถนนที่เต็มไปด้วยร้ายค้า ลูกชายแนะนำร้าน Brand Name ของจีน เพราะรู้ว่าพ่ออยากซื้อกางเกงขาสั้นและเสื้อยืดตัวใหม่ เพื่อความคล่องตัวในการเดินทาง ถึงแม้จะดูไม่สวย แต่ด้วยอากาศร้อน 38 องศาและอากาศแห้งมาก ๆ จึงตัดสินใจเปลี่ยนชุดเพื่อการเดินทางที่สบายตัวมากขึ้น ร้านค้า Brand Name เป็นที่แรกที่รับบัตรเครดิตโดยไม่ต้องสแกน WeChat รู้สึกสะดวกขึ้น
ร้านอาหาร Wei Jie


จากร้านเสื้อผ้าเดินไปไม่นานก็พบ ร้านอาหาร Wei Jie ตั้งอยู่บนถนน West ในเมืองซีอาน เป็นร้านอาหารท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นเปิดจำหน่าย 24 ชั่วโมง ร้านนี้เป็นร้านอาหารที่ผมและภรรยารู้สึกว่าอร่อยที่สุดร้านหนึ่ง เพราะรสชาติอาหารถูกปาก ราคาไม่แพง ห้องแอร์ เก้าอี้ดี บริการดี จนต้องแนะนำลูกชายว่าให้มาทานอาหารร้านนี้บ่อย ๆ เพราะอร่อย คุ้มค่าและดีกับสุขภาพ
ที่เคาเตอร์แนะนำ บะหมี่เผ็ดส่านซี (Biang Biang Noodles) ซึ่งเป็นบะหมี่เส้นหนาที่ปรุงรสด้วยซอสเผ็ดที่เข้มข้น ทานแล้วไม่ค่อยชอบเท่าไหร่แต่ต้องลองเลยทานไปคนละ 1 – 2 คำ แล้วจำเป็นต้องทิ้งเพราะทานไม่หมดจริง ๆ อาหารที่สั่งมาแล้วชอบคืออาหารชุด Premium สุด แต่ไม่ได้แพงมาก เป็นข้าวแบบเติมไม่อั้น ทานกับเนื้อผัดหัวหอม ดูหน้าตาคล้ายกับ Yakiniku ของญี่ปุ่นแต่รสชาติไม่เหมือนกันเพราะออกเค็มหอม ไม่หวาน พร้อมกับน้ำซุปไก่ดำกับไข่ตุ๋นกุ้ง ลูกชายทานอาหารชุดเหมือนกันเป็นข้าวหน้าหมู รสชาติเหมือนกับข้าวหน้าไก่ 5 แยก บ้านเราแต่เปลี่ยนจากไก่เป็นหมู ที่ทานแล้วถึงกับอึ้งเพราะหมูทำได้นุ่มเหมือนกับไก่เลย ทานกับไข่ตุ๋นกับน้ำซุปไก่ดำ ลูกชายสั่งน้ำซุปลูกพลับมาเพิ่ม ราคาโดยรวมไม่แพงและเอร็ดอร่อยถูกปากมาก
ศาลเจ้า Town God Temple (Cheng Huang Miao - 城隍庙)



และวัฒนธรรมในเมืองซีอาน ศาลเจ้าแห่งนี้มีความเก่าแก่และได้รับการยอมรับในฐานะที่เป็นสถานที่ที่ชาวเมืองมาสักการะเทพเจ้าผู้ปกป้องเมือง หรือที่รู้จักในนาม “Cheng Huang” (城隍) ซึ่งเป็นเทพเจ้าตามความเชื่อพื้นบ้านของจีน เทพองค์นี้มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเมืองและประชาชนให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติ และยังดูแลความสงบสุขในชุมชนอีกด้วย Cheng Huang Miao ถูกสร้างขึ้นในช่วงราชวงศ์หมิง (1368-1644) และมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตของชาวเมืองตั้งแต่ยุคนั้น ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อบูชา Cheng Huang ซึ่งตามความเชื่อชาวจีน เทพเจ้าผู้นี้มีหน้าที่ปกป้องเมืองในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเมือง การค้า ความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงการดูแลดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ จึงทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นจุดที่ผู้คนมักมาขอพรให้เมืองสงบสุข ปลอดภัยจากภัยอันตราย และความมั่งคั่งเจริญรุ่งเรือง
ทางเข้าสู่ศาลเจ้าเป็นซอยใหญ่ ลักษณะคล้ายซอยตลาดเก่าที่เยาวราชในกรุงเทพฯ ซึ่งถือว่าเป็นฮวงจุ้ยที่ดีมาก เมื่อเดินเข้าซอยไปจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเย็นสบาย และพลังแห่งความร่มเย็นที่ยากจะบรรยาย ด้านข้างของซอยเต็มไปด้วยร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าสำหรับพิธีกรรมทางศาสนามากมาย น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบของเหล่านี้ เมื่อเข้าสู่ศาลเจ้า อาคารศาลแรกเป็นที่ประดิษฐาน เทพเหวินชางตี้จวิน เป็นเทพประธาน โดยด้านซ้ายของเทพประธานเป็น เทพเจ้าโชคลาภปางบู๊ และด้านขวาเป็น เทพเจ้ากวนอูปางอ่านหนังสือ ขณะนั้นเราถือโอกาสเสี่ยงเซียมซี คนละ 20 หยวน (ประมาณ 100 บาท) โดยภายในศาลเจ้ามีนักพรตช่วยแปลความหมายของเซียมซีให้ด้วย
ด้านหลังของศาลเจ้าหลักยังมี ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง และเทพเจ้ามากมาย แต่ที่สะดุดตาที่สุดคือรูปเคารพขนาดใหญ่ของ ซุนซือเหมี่ยว (Sun Simiao, 孙思邈) ซึ่งเป็นแพทย์จีนโบราณที่มีชื่อเสียงในช่วงปลายราชวงศ์สุยและต้นราชวงศ์ถัง ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็น “ราชาแห่งยาจีน” เนื่องจากความเชี่ยวชาญในด้านการแพทย์แผนจีนและการรักษาโรค ทั้งนี้ ผมเคยคิดไว้ว่าวันหนึ่งจะตั้งเทพ เหวินชางตี้จวิน หรือเทพบุ๋นเป็นเทพประธานที่บ้าน โดยมี เทพซุนซือเหมี่ยว และ เทพนารีหูเซียน หรือเซียนจิ้งจอกเป็นเทพด้านข้าง แต่ในประเทศไทยยังไม่เคยพบศาลเจ้าที่ตั้งเทพเหล่านี้ไว้อย่างจริงจัง วันนี้ได้มาสักการะที่วัดแห่งนี้แล้ว ทำให้รู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้สมบูรณ์และครบถ้วนในความคิดของพ่อแล้ว
ถนน Muslim Street และมัสยิดใหญ่ซีอาน (西安大清真寺)

วัฒนธรรมและวิถีชีวิตชาวมุสลิมในเมืองซีอาน ที่เมื่อวานเราได้แวะมาทานอาหารอย่างเร่งรีบ ย่านนี้เป็นที่ตั้งของชุมชนชาวมุสลิมฮุย (Hui) ที่มีประวัติยาวนานหลายร้อยปี วันนี้เราใช้โอกาสเดินเล่นชมบรรยากาศของตลาดที่คึกคัก เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารท้องถิ่นที่หลากหลาย มีอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ แต่ละร้านมีความน่าสนใจไม่แพ้กัน สำหรับมื้อกลางวันเราเลือกร้านอาหารใหญ่แห่งหนึ่ง แต่ราคาค่อนข้างสูงเกินคาด ลูกชายเล่าให้ฟังว่าคนซีอานแท้ ๆ ไม่ค่อยนิยมมาทานที่นี่ เพราะรสชาติอาหารไม่ได้ดีมากและราคาสูงเหมือนกับอาหารในแหล่งท่องเที่ยวทั่วไป ซึ่งก็คล้าย ๆ กับสถานการณ์ในประเทศไทยที่อาหารมุสลิมมักจะราคาสูงกว่าปกติ แต่เราคิดว่านั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการค้าในย่านนี้ ก็ไม่ได้บังคับใคร หากพอใจซื้อก็ซื้อ สำหรับเราก็ถือว่าได้ลองทานอาหารพื้นถิ่นในสถานที่ท่องเที่ยว เป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่เก็บไว้
หลังจากทานอาหารเสร็จ เราก็เดินต่อไปยัง มัสยิดใหญ่ซีอาน (Great Mosque of Xi’an) ซึ่งเป็นมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุดในจีน มัสยิดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) มีความสำคัญทั้งในด้านศาสนาและประวัติศาสตร์ การออกแบบของมัสยิดผสมผสานสถาปัตยกรรมจีนและศิลปะแบบอิสลามอย่างงดงาม มีลานกว้างและอาคารที่ประดับด้วยลวดลายที่ละเอียด สะท้อนถึงวัฒนธรรมอิสลาม ขณะที่โครงสร้างและหลังคายังคงเอกลักษณ์แบบจีนโบราณ ทำให้มัสยิดนี้มีความโดดเด่น เป็นที่เคารพของผู้ศรัทธาและนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชม เราเข้ามัสยิดซึ่งมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย และสำหรับผู้หญิงจะมีผ้าให้คลุมร่างกาย ภายในมัสยิดไม่ได้มีลักษณะเหมือนมัสยิดทั่วไป แต่เต็มไปด้วยความงดงามของสถาปัตยกรรมจีน วันที่เราไปมีกลุ่มนักเรียน International มาทัศนศึกษาพร้อมกับครูต่างชาติ แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีผู้คนมากนัก เพราะไม่ใช่เวลาในการละหมาด เราจึงถือโอกาสขอพรหรือดุอาห์ต่อพระอัลลอฮ์ ในฐานะที่มีโอกาสมาเยือนมัสยิดใหญ่แห่งซีอาน
หลังจากออกจากมัสยิด เราก็แวะเดินเล่นในย่านนี้และพบว่ามีร้านค้ามากมาย เลยถือโอกาสซื้อพัดจีนมา 2 เล่ม ราคาที่นี่ไม่แพง ซึ่งเป็นเรื่องดี เพราะร้านค้าในย่านนี้ไม่ได้คิดราคา Overcharge นักท่องเที่ยว เราจึงซื้อกระเป๋าเดินทางขนาดพกพาให้ภรรยาในราคาที่ไม่แพงมาก คุณภาพก็ดีในระดับเกรดธรรมดา เสร็จแล้วเราก็เรียกรถกลับโรงแรมเพื่อ Check Out โดยที่โรงแรมให้เช็คเอาท์ตอน 15.00 น. เรามาถึงโรงแรมเวลา 14.00 น. ขึ้นไปจัดกระเป๋าและอาบน้ำให้สบายตัว ส่วนลูกชายก็นั่งรอที่ล็อบบี้ด้านล่าง ขณะนั้นพบปัญหาเล็กน้อย เมื่อ SIM โทรศัพท์ของลูกชายเสีย ซึ่งในเมืองจีนถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะการทำธุรกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่เรียกรถไปจนถึงจ่ายเงิน ทุกอย่างต้องทำผ่านมือถือ ลูกชายจึงต้องเดินไปเปลี่ยน SIM ใช้เวลาไปเกือบ 30-45 นาที แม้เราจะนั่งสบาย ๆ ที่โรงแรม แต่ก็อดสงสารลูกชายไม่ได้เพราะเขาต้องเหนื่อยดูแลพวกเราตลอด กลับมาถึงโรงแรมพร้อม SIM Card ใหม่ เราก็รีบเรียกรถเดินทางไปยังจุดหมายต่อไปทันที
วัดต้าซิงช่าน (Daxingshan Temple, 大兴善寺)




เราเดินทางมาถึง วัดต้าซิงช่าน (Daxingshan Temple, 大兴善寺) ซึ่งเป็นวัดพุทธเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ในเมืองซีอาน ประเทศจีน และถือเป็นหนึ่งในวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาในประเทศจีน วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงสมัยราชวงศ์ซีจิ้น (ค.ศ. 265-420) และมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) เมื่อเข้าสู่วัด สิ่งที่โดดเด่นที่สุดที่อยู่ตรงข้ามประตูหลักคือ วัชระขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจและการคุ้มครองตามความเชื่อของพุทธศาสนามหายาน วัชระนี้เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและใช้ในการปัดเป่าอุปสรรค ปกป้องจากความชั่วร้าย
ในอดีต วัดต้าซิงช่าน เคยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พุทธศาสนามหายาน โดยเฉพาะในเรื่องการแปลพระไตรปิฎกจากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาจีน พระภิกษุจากทั้งอินเดียและจีนได้ร่วมมือกันแปลและเผยแพร่คำสอนของพระพุทธศาสนาผ่านทางวัดนี้ ทำให้วัดต้าหย่านถ่าไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางการศึกษาพระธรรมที่สำคัญ เชื่อมโยงวัฒนธรรมพุทธจากอินเดียสู่จีน วัดแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงจากการประดิษฐาน พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ภายในเจดีย์ใหญ่ และด้านหลังของอาคารพระประธานยังมีอารามที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์สำคัญของสายมหายานอย่างครบถ้วน เช่น พระโพธิสัตว์กวนอิม, พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์, พระมัญชุศรีโพธิสัตว์, และ พระสมันตภัทรโพธิสัตว์
วัดต้าซิงช่าน ยังเป็นที่รู้จักในด้านสถาปัตยกรรมจีนโบราณที่งดงามและโดดเด่น มีทั้งอาคารและเจดีย์ที่สะท้อนถึงความยิ่งใหญ่และศิลปะของพุทธศาสนาในยุคนั้น ความงามและประวัติศาสตร์ของวัดแห่งนี้ทำให้เป็นจุดหมายสำคัญสำหรับทั้งชาวพุทธและนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสกับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์พุทธศาสนาของจีน
ห้างสรรพสินค้า Saga International Shopping Mall

เมื่อออกจาก วัดต้าซิงช่าน (Daxingshan Temple, 大兴善寺) เดินไปไม่ไกลก็จะถึงแหล่งช้อปปิ้งสำคัญที่มีวัยรุ่นและคนมีฐานะในเมืองซีอานมาเที่ยวกันเป็นประจำ ที่นี่เปรียบได้กับสยามพาราก้อนหรือเอ็มควอเทียร์ของประเทศไทย แต่มีขนาดใหญ่กว่าและการจราจรบริเวณนี้คึกคักมาก มีรถขับขวักไขว่ไปมา ผมเองเป็นคนที่ชอบสังเกตการณ์ทำธุรกิจของประเทศต่าง ๆ จึงบอกลูกชายว่าอยากแวะเดินห้างสักหน่อยเพื่อดูว่าธุรกิจค้าปลีกและความก้าวหน้าของห้างสรรพสินค้าในประเทศจีนเป็นอย่างไร ลูกชายจึงแนะนำให้ไปที่ Sega International Shopping Mall ซึ่งเป็นห้างที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมสูงสุดในซีอาน
Sega International Shopping Mall เป็นศูนย์การค้าหรูหราที่ตอบโจทย์คนทุกวัย ตั้งแต่คนรุ่นใหม่ไปจนถึงนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมระดับโลกหรือสินค้าพรีเมียมเฉพาะกลุ่ม ห้างนี้มีความโดดเด่นด้วยการออกแบบที่ทันสมัยและหรูหรา รวมถึงมีสินค้าให้เลือกซื้อมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือเครื่องสำอางจากแบรนด์ดัง การมาเยือนที่นี่ทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตและรสนิยมของคนซีอานที่นิยมการช้อปปิ้งในสถานที่ระดับพรีเมียม หนึ่งในจุดเด่นของห้างที่คนพูดถึงมากคือ บันไดเลื่อนที่ยาวที่สุดในซีอาน การได้ขึ้นบันไดเลื่อนที่ทอดยาวหลายชั้นช่วยสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจและแสดงให้เห็นถึงความกว้างขวางและยิ่งใหญ่ของห้าง ทำให้การเดินเที่ยวในห้างนี้สะดวกสบายและไม่รู้สึกแออัด
แม้ว่าเวลาของเราจะมีไม่มากนัก แต่เราก็ได้มีโอกาสขึ้นไปที่ ชั้น 9 ซึ่งเป็นชั้นของร้านอาหาร บอกได้เลยว่าร้านอาหารที่นี่หรูหราและมีให้เลือกเยอะมาก ไม่แพ้ห้างใหญ่ ๆ ในกรุงเทพฯ และเผลอ ๆ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ หลังจากนั้น เราแวะไปถ่ายรูปกับ น้ำตกกลางห้าง ที่มีการเลี้ยงเป็ดและนกอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น จากนั้น เราก็ลงมาที่ ชั้น 2 เพื่อดูโซน IT ที่รวมร้านขายเกมส์ ร้านขายมือถือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ บอกได้เลยว่ารู้สึกได้ไอเดียมากมายจากการเดินดูในห้างนี้ จนผมบอกกับลูกว่า ครั้งหน้าถ้ามาซีอานอีก อยากจะขอเวลาเดินเล่นย่านค้าขายและสำรวจธุรกิจมากกว่านี้ แต่ด้วยเวลาที่จำกัด ครั้งนี้เราจึงใช้เวลาเดินห้างไม่นานนัก ก่อนที่จะรีบเรียกรถเพื่อไปยังจุดหมายสุดท้ายของการเดินทางในซีอาน
จัตุรัสตลาดตะวันตกแห่งราชวงศ์ถัง 大唐西市广场


ลูกชายพาผมและภรรยามาทานอาหารเย็นที่ ศูนย์การค้า 大唐西市广场 ซึ่งเป็นศูนย์การค้าขนาดเล็กใกล้กับมหาวิทยาลัย Northwestern Polytechnical University (NPU) อาหารที่ลูกชายเลือกให้ในวันนี้เป็นหม้อไฟ 2 หม้อใหญ่ แต่ละหม้อสามารถเลือกเครื่องเคียงเติมได้อีก 8 อย่าง รวมทั้งหมด 16 อย่าง หม้อไฟหนึ่งหม้อเป็นเนื้อ ส่วนอีกหม้อเป็นไก่ ทานคู่กับข้าวเปล่าที่เติมได้ไม่อั้น และยังมีน้ำให้ 3 กล่อง ถือเป็นมื้อเย็นที่อิ่มอร่อยและคุ้มค่ามาก ลูกชายเล่าว่าตอนที่เรียนที่มหาวิทยาลัย เขามักมาฝากท้องกับร้านอาหารที่ห้างนี้เป็นประจำ เพราะสะดวกสบายและมีร้านอาหารให้เลือกเยอะมาก แม้ลูกชายจะบอกว่าห้างนี้เป็นห้าง Local เล็ก ๆ แต่สำหรับผมถือว่าใหญ่และมีร้านอาหารให้เลือกมากกว่าห้างใหญ่บางแห่งในเมืองไทยเสียอีก
大唐西市广场 (Tang West Market Square) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญและมีความหมายทางประวัติศาสตร์ในเมืองซีอาน ตั้งอยู่ในย่านที่เคยเป็นตลาดตะวันตก (West Market) ของราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญในสมัยนั้น ตลาดนี้เป็นจุดเชื่อมต่อการค้าขายสินค้าจากทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะเส้นทางสายไหม (Silk Road) ที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจระหว่างตะวันออกและตะวันตก
ปัจจุบัน 大唐西市广场 เป็นแหล่งช้อปปิ้งและศูนย์วัฒนธรรมที่ใหญ่และทันสมัย ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมสไตล์ราชวงศ์ถังอย่างงดงาม ภายในประกอบด้วยร้านค้าจำนวนมากที่จำหน่ายสินค้าหลากหลายประเภท เช่น เครื่องประดับ, งานฝีมือ, เครื่องใช้โบราณ, และผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ Tang West Market Museum ซึ่งจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเส้นทางสายไหมและการค้าขายในสมัยราชวงศ์ถัง เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้เกี่ยวกับความรุ่งเรืองทางการค้าและวัฒนธรรมของจีนในอดีต
นอกจากนี้ ใกล้กับ ศูนย์การค้า 大唐西市广场 ยังมีโรงแรมชื่อดังอย่าง Tang Dynasty Art Garden Hotel (唐朝艺术花园酒店) ซึ่งตกแต่งอย่างหรูหราในสไตล์ราชวงศ์ถัง โรงแรมนี้ใช้สถาปัตยกรรมจีนโบราณ ผสมผสานกับศิลปะและวัฒนธรรมจากยุคราชวงศ์ถัง ทำให้ผู้เข้าพักได้สัมผัสกับบรรยากาศที่ย้อนกลับไปยังยุคทองของประวัติศาสตร์จีน บริเวณใกล้เคียงโรงแรมยังมีสถาปัตยกรรมสไตล์อินเดีย เปอร์เซีย และเวนิสให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ก่อนเดินทางกลับประเทศไทย ลูกชายพาผมไปส่งที่สนามบิน แล้วเขาก็นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินกลับเอง ซึ่งค่ารถไฟฟ้าใต้ดินที่จีนถูกมาก เมื่อเทียบกับการเดินทางด้วยรถยนต์ที่ใช้เวลาประมาณ 40-60 นาที แต่ถ้านั่งรถไฟฟ้าใต้ดินกลับ ใช้เงินเพียง 10 หยวน หรือประมาณ 50 บาทเท่านั้น ทำให้เห็นถึงความแตกต่างในการดำเนินชีวิตระหว่างประเทศจีนและประเทศไทย ที่จีนค่าใช้จ่ายในการเดินทางและอาหารไม่แพง รัฐบาลให้ความสำคัญกับต้นทุนชีวิตของประชาชน ซึ่งต่างจากประเทศไทยอย่างเห็นได้ชัด วันสุดท้ายเดินเท้าประมาณ 17,000 ก้าว รวมตลอดทริปนี้เดินเท้าประมาณ 70,000 ก้าว เป็นผลพลอยได้ในแง่สุขภาพที่ดีขึ้นนอกเหนือจากการท่องเที่ยวในครั้งนี้
เราเดินทางกลับประเทศไทยด้วยสายการบิน Thai Air Asia โดยตั๋วขากลับนั้นถูกอย่างไม่น่าเชื่อ สำหรับ 2 คน จ่ายไปเพียง 5,100 บาทเท่านั้น เราออกเดินทางกลับในวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2567 เวลา 22.50 น. และถึงประเทศไทยตอน 1.45 น. เป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยประสบการณ์และความประทับใจ ลาก่อนซีอาน แล้วพบกันใหม่อีก 6 เดือนข้างหน้า ผมตั้งใจจะกลับมาอีกครั้งในวันที่ลูกชายจบปริญญาโท



Blog นี้เขียนโดย ธนินพงษ์ ศุภพิทักษ์พงษ์ ( Phoenix) วันที่ 8-9-2024 พบกันใหม่ TRIP หน้ากับครอบครัวศุภพิทักษ์พงษ์ ติดต่อ ธนินพงษ์ ศุภพิทักษ์พงษ์ได้ทางอีเมล์ mailto : laxmirung1970@gmail.com